บทที่ 8 สืบหา
“โยมลุงขลุ่ย ที่ดินของโยมลุงเคลือบใครจะดูแล ญาติแกมีรึเปล่าโยมลุง”
“ผมจะลองติดต่อดู ไม่รู้ญาติแกเหลือบ้างไหม เท่าที่รู้แกไม่เคยไปมาหาสู่ใครเลยตั้งแต่เมียแกตาย ถ้าไม่มีใครค่อยหารือกับผู้ใหญ่อีกที”
“ยกให้วัดก็ได้กระมังโยมลุงแต่ต้องให้ญาติแกมาก่อนจึงจะยกได้”
“ต้องอย่างนั้นแหละคุณ ถ้าไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ ผมจะขอความเห็นจากชาวบ้านแต่คงไม่มีใครค้านหรอก ไม่มีใครกล้ามาอยู่ที่นี่ด้วย ดูสิไปกันหมด กลัวละมัง”
ขลุ่ยมองตามหลังทองพูนซึ่งเป็นคนสุดท้ายของแถว ชาวบ้านที่มาร่วมทำบุญเผาศพเคลือบทยอยกันกลับ คนที่กลัวผี กลับไปก่อนศพจะไหม้เหลือเถ้าถ่าน คนที่อยู่จนไฟมอดไม่กลัวแต่ไม่กล้าอยู่ค่ำมืด ขลุ่ยอยู่เป็นเพื่อนโกรก หลวงตาเช้าและพระไชยานั่งอยู่ด้วย หลวงตามองตามขลุ่ยแล้วเอ่ยเสียงเนิบ
“โยมพูน โกรธไอ้เดชมาก ถึงกับจุดธูปบอกนังสไบไปตามไอ้เดชมาให้แกกระทืบ”
“หลวงตาคิดยังไงขอรับ ไอ้เดชเป็นตัวการหรือเปล่าขอรับ”
ขลุ่ยหันกลับมามองหลวงตา ใบหน้าของท่านเรียบเฉย ดวงตามีแววบางอย่างที่ขลุ่ยเดาไม่ออกว่าท่านกำลังคิดอะไร
“ไม่น่าใช่นะ ไอ้เดชรักลูกรักเมียมาก รักพ่อตามากด้วย ที่เอ็งเจอผ้าขาวม้ามันตกอยู่กลางทาง มันกำลังไปหาเอ็งหรือเปล่าหรือว่ามัน...”
หลวงตาเช้าหยุดคำเมื่อลมพัดวูบเข้าปะทะใบหน้า แรงลมหมุนรอบบริเวณที่ท่านนั่งอยู่แล้วจึงหมุนไปหากองเถ้า ฝุ่นสีขาวนวลลอยฟุ้งและหมุนตามแรงลมสูงขึ้นๆ และปลิวสลายไปกับอากาศเบื้องบน
โกรกถอยห่างกองเถ้า แขนสองข้างป้องใบหน้ากันฝุ่นละอองเข้าตา เขาหลับตาจึงไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏกลางกองเถ้า หลวงตาเช้า พระไชยาจ้องเขม็ง ขลุ่ยเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
เถ้าฝุ่นสีเทาหมุนเป็นรูปร่างคน ขลุ่ยจำรูปร่างนั้นได้แม่นยำขณะที่ร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ คำพูดของหลวงตาเช้าถูกต้องอย่างนั้นหรือ เดชไม่ใช่คนฆ่าเคลือบกับสไบ หากเป็นจริงแล้วใครคือฆาตกรและฆ่าครอบครัวเคลือบเพื่ออะไร เด็กน้อยคู่แฝดกับเดชหายไปไหน ทำไมไม่เห็นศพรวมอยู่กับเคลือบและสไบ
คำถามเหล่านี้ค้างคาอยู่ในใจขลุ่ย ใครจะตอบคำถามให้ชัดเจนกับเขา ร่างเคลือบจางหายไปกับสายลมหมุนม้วนห่างกองเถ้าไปช้าๆ และหายไปจากสายตาของทั้งสามชีวิต
ไม่มีคำพูดของใครคนใดคนหนึ่งผ่านริมฝีปากออกมา สายตา 3 คู่มองตามสีเทาจางครู่ใหญ่จึงหันกลับมามองหน้ากันเอง
“หลวงตาขอรับ ที่หลวงตาพูดเมื่อกี้นี้ เป็นไปได้หรือเปล่าขอรับ ถ้าเป็นไปได้ ไอ้เดชหายไปไหน พาลูกแฝดไปไหนแล้วก็...ใครฆ่าพี่เคลือบกับนังสไบล่ะขอรับ”
ขลุ่ยคลางแคลงกับคำพูดของหลวงตา หากไม่ถามเขานอนไม่หลับแน่คืนนี้และร่างเคลือบผ่านทางฝุ่นละอองรวมตัวกันช่วยยืนยันความคิดของหลวงตาเช้าจริงๆ หรือ
“ข้าก็ไม่มั่นใจว่าคิดผิดหรือถูกแต่พอเห็นโยมเคลือบออกมาย้ำความคิดของข้า มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะขลุ่ย แต่เอ็งไม่ต้องเชื่อตามที่ข้าคิดหรอก เอ็งคิดอะไรก็คิดไปขออย่างเดียว อย่าใส่ร้ายคนที่เรายังหาหลักฐานกล่าวโทษเขาไม่ได้ อย่าเพิ่งไปว่าเขาเลยนะ ไอ้เดชมันอาจไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง”
หลวงตาเช้าถอนหายใจยาว ท่านมั่นใจในความบริสุทธิ์ของเดชแต่เดชหายไปไหน ทำไมต้องพาลูกฝาแฝดหนีไปด้วย ทำไมไม่อยู่บอกชาวบ้านว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคลือบและสไบ ทำไมไม่ช่วยและทำไม...คำถามต่างๆ หยุดลง
“ส่วนคนที่ฆ่าสองพ่อลูก ข้าตอบไม่ได้ว่าพวกมันเป็นใคร เราต้องสืบหากันถ้าเอ็งอยากรู้นะ”
“สืบยังไงหรือขอรับหลวงตา”
“ใครไม่ชอบโยมเคลือบบ้างมีไหม ไอ้เดช นังสไบ เคยทำความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า ในหมู่บ้านเรามีไหม”
“ไม่มีหรอกขอรับ พี่เคลือบ ไอ้เดช นังสไบ ไม่เห็นไปวุ่นวายกับใคร ไม่ค่อยไปมาหาสู่ใครเลย นานๆ จะไปหาผมบ้าง นังกำไลมีของกินก็เอามาแบ่งปันให้ นังสไบมีอะไรก็เอาไปฝากบ้านผมขอรับ สองบ้านที่สนิทกัน ส่วนบ้านคนอื่นก็พูดคุยกันดีขอรับ ไม่มีใครเกลียดครอบครัวพี่เคลือบหรอกขอรับ”
ขลุ่ยตอบหลวงตาเช้าได้คล่องปากเพราะความจริงเป็นอย่างที่เขาพูด เคลือบไม่ยุ่งกับใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน สไบกับสามีรู้จักถ่อมตน ไม่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับใคร คนในหมู่บ้านรู้จักกัน ช่วยเหลือกันดี
“คนหมู่บ้านอื่นล่ะโยมลุง มีใครไม่ชอบโยมลุงเคลือบหรือเปล่า นังสไบกับไอ้เดชล่ะมีคนไม่ชอบหน้าบ้างไหม”
พระไชยาตั้งคำถามให้ขลุ่ยคิดทบทวน ความเป็นอยู่ของครอบครัวเคลือบ เกี่ยวพันกับใครนอกหมู่บ้านบ้าง สาเหตุอาจมาจากที่อื่น พระไชยาเริ่มเห็นคล้อยกับหลวงตา คนอื่นนอกหมู่บ้านอาจไม่ชอบครอบครัวเคลือบก็ได้
“ไม่มีนะคุณ ไอ้เดชไม่เห็นออกนอกหมู่บ้านแต่ญาติๆ ของมันมีอยู่นะ เขาก็ไม่เห็นไปมาหาสู่มันเลยตั้งแต่มันย้ายมาอยู่บ้านพี่เคลือบ”
“ก็แปลกนะ”
พระไชยาพูดสั้นๆ ความคิดของท่านมิได้สั้นอย่างที่พูดออกมา ความสงสัยมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ครู่หนึ่งท่านเอ่ยออกมาเหมือนรำพึงกับตัวเอง
“หรือว่า...”