บทที่6
รับรู้ได้ว่าร่างเล็กที่นอนใต้ร่าง ทักท้วงขอลมหายใจที่ขาดหาย ตงหยางถอดถอนจูบอันเร่าร้อนนั้นออก พร้อมทั้งสบตาเธอที่นอนจ้องหน้าเขา
“ทำไมไม่ขัดขืนซะละ หรือว่ารอเวลานี้มานาน”
“พี่หยาง ฉันแต่งงานกับพี่ จะช้าหรือเร็วเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิด ฉันขัดขืนพี่ได้ด้วยเหรอ”
เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เพราะมันเป็นเรื่องจริง หากจะว่าไปแล้ว ซิงเหยียนเธอคือผู้หญิงที่สวยน่ารัก หากเรื่องที่เกิดกับพ่อไม่ใช่เธอเป็นคนต้นเหตุ เขาเองก็คงไม่เกลียดเท่านี้
“แล้วอย่ามาร้องหาความยุติธรรมทีหลังแล้วกัน!”
อุณหภูมิในร่างไต่ระดับขึ้นตามอารมณ์กระตุ้น เสื้อผ้าจากที่เคยปกปิดร่างกายก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าของซิงเหยียนหรอกนะ กางเกงที่เหลืออยู่ตัวเดียวบนร่างของตงหยางก็ถูกถอดแล้วกองอยู่ด้วย
คืนเข้าหอที่ไร้ความหวานครั้งนี้ เธอรู้ดีว่าทุกการกระทำของเขา ทำลงไปเพื่อธุรกิจเบื้องหน้า แต่อย่างนั้นก็ยอมให้เขากระทำตามอำเภอใจ แม้จะเป็นครั้งแรกที่เจ็บปวด แต่ซิงเหยียนก็พยายามที่จะข่มอาการนั้นไว้ สิ่งที่เธอทำได้คือฝากรอยเล็บลงที่แผ่นหลังของตงหยางเท่านั้น
รุ่งเช้า
ลืมตาตื่นในยามเช้า ตอนนี้เธอรู้ดีว่าไม่ได้หลับนอนที่บ้านของตระกูลกู้ เพราะหลังจากจบพิธีเรือนหอก็เป็นโรงแรมของตระกูล แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่สุดคือ ร่างสูงที่ร่วมหลับนอนกับเธอเมื่อคืน เขาหายไปแล้ว
เท้าของเธอหย่อนลงไปแตะที่พื้น อีกมือก็หอบผ้าห่มเพื่อปิดบังเรือนร่าง ความปวดร้าวกับครั้งแรกมันทำให้ซิงเหยียนลำบากอยู่ไม่น้อย
เมื่อหอบสังขารเข้ามาในห้องน้ำ ก็รีบชำระร่างกายให้เสร็จสิ้น สิ่งที่อยู่ในหัวของเธอตอนนี้คือ เรื่องราวเมื่อคืน สัมผัสต่างๆ ของเขาที่มอบให้เธอ
“พี่หยาง ทำไมพี่ถึงใจร้ายกับฉันนัก”
แอบบ่นเบาๆ หลังจากหยิบผ้ามาคลุมร่างแล้ว เท้าของเธอค่อยๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นว่าสายมากแล้วก็รีบเปลี่ยนชุด ไม่นานเสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้น
ครืด ครืด
ร่างเล็กเดินมาหยิบมือถือเครื่องโปรด ที่ถูกวางไว้บนหัวเตียงตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เลขาคนสนิทของตงหยางก็รีบกดรับ
โทรศัพท์
(คุณซิงเหยียนอีกหนึ่งชั่วโมงจะมีรถของที่บ้านไปรับนะครับ)
“อ้อ ฉันรู้แล้ว ....เจียวมิ่ง พี่หยางเขา”
(วันนี้คุณชายใหญ่ต้องขึ้นรับตำแหน่งประธานคนใหม่อย่างเป็นทางการ ก็เลยต้องออกมาแต่เช้าครับ)
สิ่งที่ปลายสายบอกมานั้นเธอพอเข้าใจได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างคงสมใจเขาแล้ว การแต่งงานเพื่อดำรงตำแหน่งและอำนาจ ต้องบอกว่าอย่างเป็นทางการ เพราะก่อนหน้านั้น ตงหยาง เขาแค่ดูแลแทน การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาโดยตรง แต่ตอนนี้เขาได้มันมาแล้ว
หลังจากที่เจียวมิ่งบอกว่าจะมีคนของที่บ้านเอารถมารับ ซิงเหยียนเธอก็แต่งตัวรอ เพื่อที่จะกลับไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้อะไรกันที่จะเกิดขึ้นบ้าง
เพียงแค่เท้าแตะลงที่หน้าประตูคฤหาสน์ แววตาที่หันมามองเธอด้วยความไม่เป็นมิตรก็ฉายแววชัดเจนขึ้น คงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร หากไม่ใช่คุณนายหลี่ หรือที่เธอเรียกว่าคุณป้าหลี่นั่นเอง
“คงจะสมใจแล้วสินะ ที่คุณพ่อเขียนพินัยกรรมให้หลอนแต่งงานกับลูกชายฉัน เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงได้หุ้นของโรงงานมากกว่าทายาทแท้ๆ แถมบ้านหลังนี้ก็เป็นชื่อเธออีก”
“คุณป้าหลี่ค่ะ ซิงเหยียนไม่เคยคิดแบบนั้น แม้คุณปู่จะยกให้เป็นชื่อของซิงเหยียนแต่บ้านนี้ก็ยังเป็นของคุณป้าเหมือนเดิมนะคะ”
เธอพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะมากที่สุด เพราะรู้ดีว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ป้าหลี่ก็ไม่เคยเมตตาเธอสักครั้ง ยิ่งต้องมาแต่งงานกับลูกชายที่คุณป้าหวงมากที่สุดเธอยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
“รู้จักเตรียมตัวก็ดีแล้ว เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอย่างเธอแค่ได้แต่งงานร่วมเตียงกับลูกชายฉันมันก็มากพอแล้ว และสิ่งที่เธอควรรู้ไว้ แม้จะแต่งงานแต่เธอก็ไม่สมควรที่จะออกนอกหน้านอกตา ใครๆ เขาก็รู้ว่าเธอถูกเก็บมาเลี้ยงเป็นแค่เด็กรับใช้ ไม่ต้องมาชูคอเหมือนหงส์หรอกย่ะ!”
เบ้ปากลงแล้วเชิดใส่ซิงเหยียน คำพูดที่ดูจะทำร้ายจิตใจพวกนี้ไม่ได้เป็นครั้งแรกของเธอหรอกนะ เพราะเท่าที่จำได้ซิงเหยียนเธอโดยแบบนี้มาตลอด แต่ก็ต้องทน
ดวงตาที่เศร้าหมองมองตามแผ่นหลังของคนที่พึ่งว่าให้เธอช้ำใจเมื่อครู่ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจดังพรืดใหญ่ สาวเท้าขึ้นชั้นบนของห้อง ห้องที่เธอเคยอยู่มาตั้งแต่เด็ก ทว่า
“เอ้...ป้าไฉ ทำไมต้องเก็บของด้วยละคะ แล้วของในห้องหายไปไหนหมด”
“เหยียนเหยียน ตอนนี้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่ไปแล้ว คุณชายใหญ่สั่งให้ย้ายของของเธอเข้าไปในห้อง”
ยืนมองเด็กรับใช้ในบ้านรวมทั้งป้าแม่บ้านผู้อาวุโส เก็บสิ่งของของเธอบางส่วนไปที่ห้องของตงหยาง ความคิดวูบก็ลอยเข้ามาทันที
“ใช่สินะ ฉันเป็นแค่แม่พันธุ์ของพี่นี่ ที่พี่ย้ายของฉันไปเพราะกลัวไม่มีลูกละสิ”
#บริษัท
ห้องประชุมอันโอ่อ่า สมฐานะของตระกูลดังที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น บัดนี้ประธานกู้คนใหม่ก็คือตงหยาง
“ขอแสดงความยินดีอย่างเป็นทางการนะครับ คุณกู้ตงหยาง”
“ครับ”
กรรมการอาวุโสท่านหนึ่งยืนขึ้น พร้อมกับกล่าวความยินดี สีหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ต่างชื่นมื่นปรีติยินดีอย่างมาก เมื่อคนที่ขึ้นมาครองตำแหน่งเป็นหลานชายแท้ๆ ของกู้อู่เกอผู้ล่วงลับ
ตงหยางแม้ว่าอายุตอนนี้ของเข้าจะแค่ยี่สิบแปดปี ทว่าความรู้พร้อมความสามารถนั้น เขาได้แสดงให้เห็นแล้ว เมื่อครั้งที่บิดาและปู่ยังมีชีวิต ส่วนตงฉิน ตำแหน่งที่เขาได้รับคือรองประธาน และยังเป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมอีกด้วย นับว่าสองพี่น้องตระกูลกู้ ไม่ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์
ทุกอย่างในบริษัทเหมือนจะราบรื่นขึ้นมาก หลังจากหลายๆ ตำแหน่งใหม่เริ่มลงตัว แม้ว่าอาจจะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับตำแหน่งที่ตนได้รับ แต่ก็ไร้เสียงที่จะคัดค้าน
ใบหน้าหล่อดูนิ่งดุจผืนน้ำ แววตาของเขาฉายแววความอำมหิตแฝงอยู่ แม้ว่าตอนนี้จะขึ้นแท่นท่านประธานใหญ่ แต่สิ่งที่ต้องทำก็มีอีกมากมาย รวมทั้งจัดการพวกคนพาลที่เข้ามาขัดขวางธุรกิจครั้งนี้