ตอนที่ 2 คุณหมอมีคนรักหรือยังคะ
“พี่รู้อยู่แล้วแต่เลือกที่จะไม่บอก หรือว่าพี่กลัวว่าจะกระทบเรื่องงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับเขา กันแน่”
“อัยย์ คือพี่คิดว่าจะปล่อยให้งานพรีเซ็นเตอร์คู่จบสัญญาไปก่อนแล้วค่อยบอก คิดไม่ถึงว่า…”
“หากรู้ว่ามันเป็นคนสารเลวแบบนี้แต่แรกอัยย์คงไม่เข้าไปยุ่งกับมัน”
“ตอนนี้อัยย์จะทำยังไงพี่ว่าไม่นานเขาก็คงจะรีบมาเยี่ยมเพราะกลัวว่านักข่าวจะถามแน่นอน”
“อัยย์ไม่อยากเห็นหน้าเขา”
“แต่ว่า…”
“ก๊อก ก๊อก”
“คุณหมอมาแล้วเดี๋ยวค่อยคุยกันต่อนะ”
“สวัสดีค่ะคุณหมอ”
“สวัสดีครับคุณระริน เห็นแจ้งพยาบาลว่าคนไข้ฟื้นแล้วผมขอตรวจ…. สักครู่นะครับ”
เขามองมาที่อัยเรศที่พึ่งปาดน้ำตาออกจากใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอาง อัยย์พึ่งจะมองเห็นเจ้าของเสียงนุ่ม ๆ ที่ทำให้เธอหลับตอนที่มาถึงโรงพยาบาล เขาเป็นหมอที่รูปร่างค่อนข้างสูงแม้ว่าจะสวมแว่นตาและหน้านิ่งไปหน่อยแต่ความหล่อของเขาก็ยังสะดุดตาจนเธอเผลอมองและแอบอายเล็กน้อยที่ต้องร้องไห้ต่อหน้าเขา
“สวัสดีครับผมหมอ "กวีภพ" เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณ"
“ค่ะ สวัสดีค่ะคุณหมอ”
เธอพยายามไล่น้ำตาออกไปให้เร็วที่สุดแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมหยุดไหลจนคุณหมอดึงกระดาษทิชชูและส่งมาให้เธอ
“นี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอพยายามซับน้ำตาให้แห้งไปในที่สุด คุณหมอไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่ยืนจดบางอย่างและตรวจสอบไปที่สายน้ำเกลือเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกอาย เมื่อเห็นว่าเธอจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาจึงเริ่มพูด
“วันนี้เริ่มทานข้าวได้แล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ เริ่มจิบน้ำกับทานข้าวได้แล้ว”
“แล้วตาของคุณ… ยังแพ้แสงอยู่หรือเปล่า ยังรู้สึกเคืองตาจนน้ำตาไหลอยู่ไหมครับ”
“เอ่อ…”
“ผมต้องถามเผื่อหมออีกท่านหนึ่งที่ดูอาการที่ดวงตาให้คุณ ต้องบอกว่าวันที่คุณได้รับอุบัติเหตุคอนแทคเลนส์ที่คุณใส่อยู่น่าจะเลื่อนหลุดออกมาทำให้อาจจะมีอาการข้างเคียงเช่นแพ้แสงและน้ำตาไหลไม่หยุด”
“อ้อ แบบนี้นี่เองถึงว่าล่ะ”
“ครับ ตอนนี้มองได้ปกติไหมครับ”
“ปกติค่ะ เริ่มเห็นอะไรชัดขึ้นแล้ว”
“ยังรู้สึกเคืองตาอยู่ไหมครับ”
“ไม่แล้วค่ะตอนนี้คงปกติแล้ว”
“ครับ”
เขาถามอาการเธอไปเรื่อย ๆ เสียงของเขาทำให้เธอจำได้ในทันทีว่าเขาคือคนที่รับเธอเข้ามารักษาในคืนนั้น “กวีภพ” งั้นเหรอ คุณหมอหนุ่มหน้าตาดีไม่แน่ว่าเธออาจจะให้เขาช่วยได้
สองวันถัดมา
“วันนี้ทานอาหารได้ปกติแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ดวงตาก็ไม่มีปัญหาแล้ว การมองเห็นปกติ บาดแผลภายนอกก็เริ่มแห้งแล้วส่วนผลตรวจจากการสแกนสมองก็ปกติทุกอย่าง คิดว่าไม่เกินสามวันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”
“คุณหมอมีคนรักหรือยังคะ”
“พับ!”
เสียงแฟ้มในมือของกวีภพปิดลงพร้อมกับหันไปมองพยาบาลอีกสองคน เขายื่นแฟ้มไปให้และหันไปบอกให้พวกเธอจัดยาที่เหลือเข้ามาให้คนไข้
“คุณอัยเรศ นี่เป็นคำถามครั้งที่สี่ที่คุณถามผมแล้ว คุณต้องการอะไรกันแน่”
“แต่คุณหมอยังไม่เคยตอบอัยย์เลยนี่คะ”
“ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างส่วนตัวอีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาอาการของคุณ”
“ขอพูดตรง ๆ เลยนะคะ อัยย์รู้ว่ามีคนไข้ของคุณหมอหนึ่งคนที่ต้องการกรุ๊ปเลือดพิเศษที่หายากมาก ซึ่งคุณหมอก็ทราบว่าอัยย์มีเลือดตรงกับคนไข้ของคุณ”
“แล้วยังไงครับ”
“อัยย์ช่วยคุณหมอได้นะคะ”
กวีภพหันมามองหน้าคนไข้สาวของเขาที่ตอนนี้เธอดูแข็งแรงและแววตาดูมีความหวังมากกว่าตอนที่เธอฟื้นขึ้นมาพร้อมกับรอยน้ำตาเมื่อสามวันก่อน
“คุณสามารถบริจาคเลือดของคุณให้กับคนไข้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้”
“แต่เพราะอัยย์มีเหตุผลก็เลยต้องบอกคุณหมอก่อน คุณหมอเองก็น่าจะรู้ดีว่าการที่อัยย์พูดแบบนี้ต้องมีเหตุผล”
เขาคิดไม่ถึงเลยจริง เธออยู่ที่โรงพยาบาลนี้มาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์แต่กลับสืบเรื่องของเขาอย่างละเอียดและรู้ว่ามีคนไข้ของเขาที่ต้องการเลือดกรุ๊ปพิเศษ แต่เงื่อนไขที่เธอต้องการเขาพยายามจะเลี่ยงคุยกับเธอมาสองวัน เห็นทีว่าครั้งนี้คงจะหนีไม่ได้แล้ว
“คุณต้องการอะไร”
“พรุ่งนี้จะมีงานแถลงข่าวเกี่ยวกับอาการป่วยของอัยย์ที่นี่ คุณหมอเป็นเจ้าของไข้ดังนั้นอัยย์จึงอยากขอให้คุณช่วย”
“ถ้าหากจะให้ผมช่วยโกหกเรื่องอาการป่วยผมคงจะช่วยคุณไม่ได้หรอกนะครับ มันเป็นเรื่องที่ผิดจรรยาบรรณของแพทย์”
“เรื่องนั้นฉันไม่จำเป็นต้องโกหกหรอกค่ะเพราะทางทีมงานต่างก็รู้เรื่องอาการบาดเจ็บของฉันเป็นอย่างดีผ่านผู้จัดการแล้ว แต่สิ่งที่ฉันอยากจะให้คุณหมอช่วยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“หากเป็นเรื่องที่ผิดต่อตัวเองและผิดศีลธรรม ผมบอกคุณเอาไว้ก่อนเลยว่าผมไม่มีทางรับปากได้”
“ก็ไม่ใช่เรื่องแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แค่ช่วยเออออเรื่องที่อัยย์จะพูดในงานแถลงข่าวและไม่เถียงก็พอค่ะ”
“อะไรนะ คุณหมายความว่ายังไงผมไม่เข้าใจ”
วันถัดมา งานแถลงข่าวในโรงพยาบาล
“อาการที่ดวงตาของคุณอัยย์หายเป็นปกติแล้วใช่ไหมครับ”
“ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ ได้ทีมแพทย์ที่ตรวจเช็คให้ละเอียดและเอาใจใส่เป็นอย่างดีตอนนี้อาการทั้งหมดเริ่มดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติแล้วค่ะ เพียงแต่ดวงตายังแพ้แสงอยู่วันนี้เลยเสียมารยาทนิดหน่อยที่จะต้องสวมแว่นดำเพื่อป้องกันแสงแฟลชค่ะ”
“คุณหมอครับแล้วอาการของคุณอัยย์ในตอนนี้สามารถรับงานได้ตามปกติหรือยังคะ แล้วอีกนานไหมคะกว่าคุณอัยย์จะออกจากโรงพยาบาลได้”
“ผมคิดว่าอาการของคุณอัยเรศในตอนนี้คงต้องใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อยสองสัปดาห์ อีกอย่างแม้ว่าบาดแผลภายนอกจะเริ่มหายเป็นปกติแล้วแต่ว่าอาการฟกช้ำจากแรงกระแทกคงจะต้องตรวจดูอาการเป็นระยะ ส่วนในเรื่องการรับงานหากว่าไม่ได้ขึ้นที่สูงหรือเสี่ยงอันตรายจะกระทบกระเทือนมากก็สามารถรับงานได้ตามปกติครับ”
“คุณอัยย์คะ ข่าวลือที่ว่าคุณอัยย์เสียใจเรื่องที่แฟนหนุ่มนอกใจจนเกิดอุบัติเหตุ เป็นเรื่องจริงไหมคะเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะไม่ได้มาเยี่ยมเลย”
อัยย์นั่งนิ่งแม้ว่าจะสวมแว่นแต่คนที่นั่งข้าง ๆ เธออย่างผู้จัดการและหมอกวีภพก็ทันสังเกตเห็นมือที่สั่นของเธออยู่ เมื่อเห็นว่าเธอเงียบกองทัพนักข่าวที่กระหายข่าวนี้ก็ยิงคำถามรัว ๆ
“หรือเรื่องที่ฝ่ายชายคบซ้อนจะเป็นเรื่องจริงเหรอคะ”
“คุณอัยย์รู้สึกยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ”
“ได้ข่าวว่ามือที่สามเป็นดาราหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงในตอนนี้จริงหรือไม่คะ”
เป็นระรินที่ดึงไมค์ไปตอบนักข่าวแทน กวีภพหันไปมองใบหน้าที่ซีดเผือดแต่ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอาชีพอย่างพวกเธอจะต้องทนรับแรงกดดันมากขนาดไหนและเข้าใจว่าทำไมเธอจึงมาขอให้เขาช่วยเหลือ
“ขอโทษนะคะวันนี้อัยย์ยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามเรื่องนี้ วันนี้ขอเป็นแค่การอัพเดตเรื่องอาการป่วย…”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ริน ในเมื่อทุกคนอยากจะทราบและอัยย์เองก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว อยากถามอะไรก็ถามมาได้เลยค่ะ”
บรรดานักข่าวรีบยื่นไมค์เพื่อสัมภาษณ์เธอพร้อมกับยิงคำถามที่เริ่มรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บอกว่าเธอใช้ความโด่งดังฉุดฝ่ายชายขึ้นมาให้ดังและเขาก็ถีบหัวส่งเธอ หรือไม่ก็เรื่องที่เธอทำตัวสูงมากเกินไปจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวจึงได้แอบนอกใจ
“เอาล่ะค่ะ อัยย์จะขอตอบคำถามทุกอย่างตอนนี้เลยนะคะว่าตอนนี้อัยยกับคุณชานนท์เราเพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น ส่วนเรื่องของหัวใจ อัยย์มีเจ้าของอยู่แล้วซึ่งไม่ใช่คุณชานนท์ค่ะ”