บทที่ 1 หมอดูหรือหมอเดา 1
“โธ่! ไม่แน่จริงนี่หว่า เก่งจริงอย่าหนีสิวะ ไอ้ลูกหมา ไอ้หน้าตัวเมีย”
ผู้พูดถลกแขนเสื้อทั้งสองขึ้น ชี้นิ้วไปยังร่างชายคนหนึ่งที่วิ่งหนีเธออย่างไม่คิดชีวิต จากนั้นเท้าเอวมองคนผู้นั้นอย่างแค้นเคือง พร้อมพูดไล่หลังดังลั่น
“อย่าให้เจออีกครั้งนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่ แม่จะเตะให้ก้นยุบ ม้ามทะลุ ฟันหัก แก้มโย้เลยคอยดู”
เสียงที่ดังลั่นซอยเรียกความสนใจจากบ้านใกล้เรือนเคียงที่ดูเหมือนจะชาชินกับเสียงและท่าทางนักเลงโตของหญิงสาว อีกทั้งยังไม่มีใครกล้าว่าเธอสักคน ใครล่ะจะไปกล้ายุ่งกับนักมวยหญิงสมัครเล่นหรือมาเฟียแห่งซอยต้นมะขาม ใครกล้าแหยมจะเจอทั้งหมัดทั้งเท้าที่สุดแสนจะหนักของเธอไม่รู้ตัว
“พี่ปรางไปทำอย่างนั้นกับพี่ลาภได้ยังไง ดูสิวิ่งหนีไปโน่นแล้ว”
องุ่นหรืออิสรียา น้องสาวคนเล็กของภัทรียา เจ้าของค่ายมวย จ่าดาบ ศิษย์จอมทอง ที่รับสืบทอดจากบิดา เอ่ยกับพี่สาวซึ่งยืนทำท่าทางเอาเรื่องหน้าบ้าน
“ก็ไอ้คนนี้ไม่ใช่เหรอที่แกบอกว่าชอบมายุ่งวุ่นวายกับแกจนแกรำคาญ พี่ก็จัดการให้แล้วไง เห็นรึเปล่าว่ามันวิ่งหางจุกตูดไปโน่นแล้ว โธ่! นึกว่าจะแน่”
ภัทรียาไม่ได้มีหน้าที่แค่ดูแลกิจการของบิดาเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวหน้าครอบครัว เลี้ยงมารดา เลี้ยงน้องสาวคนเล็ก และเลี้ยงลูกสาวของน้องสาวคนรองที่เสียชีวิตไปเมื่อสี่ปีก่อน เธอจึงเป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมคน และเป็นที่พึ่งของทุกคนในครอบครัว ใครมาแหยมกับคนในครอบครัวของเธอ รับรองได้ว่าเจ็บจนจุก
“ใช่พี่ลาภที่ไหนกันล่ะพี่ปราง พี่ลาภเขามาส่งองุ่นต่างหาก” น้องสาวแย้ง ท่าทีของภัทรียาเปลี่ยนไปทันที เธอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ลดมือที่เท้าเอวลง
“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” นางมารร้ายแห่งซอยต้นมะขามแก้ตัวหน้าตาเฉย “องุ่นบอกพี่ช้าเองนะช่วยไม่ได้ พี่ฝากไปขอโทษไอ้ลาภคนนั้นด้วยก็แล้วกัน พี่ไปละ” จากนั้นก็เดินเข้าบ้านหน้าตาเฉย
“พี่มะปรางเป็นอย่างนี้ทุกที น่าจะฟังกันก่อน”
อิสรียารู้ดีว่าพี่สาวสุดแสบหวังดีและเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน เพราะพี่สาวคนนี้ไม่ต้องการให้เธอเป็นเหมือนวิริยา พี่สาวคนที่สองที่จบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน ภัทรียาจึงคุมเข้มผู้ชายที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ สแกนจนแทบจะเห็นกระดูกก็ว่าได้ ด้วยกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
“อะไรกันอีกล่ะองุ่น พี่แกไปสร้างวีรกรรมอะไรอีก”
วลัยพร มารดาสุดที่รักถามขณะเดินออกมาจากบ้าน สวนทางกับลูกสาวคนโตพอดี
“จะอะไรอีกล่ะแม่ พี่ปรางลุยผิดคนน่ะสิ ไม่ถามอะไรสักคำ มาถึงก็ออกฤทธิ์เลย” คนถูกถามตอบมารดาด้วยสีหน้าละห้อยละเหี่ย
“แหมๆ นิสัยตบไว้ก่อนพ่อสอนไว้แก้ไม่หายเลยนะ ไม่ถามไม่ไถ่ ซัดได้แม่เป็นซัด ห้าวอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะมีผัววะ สงสัยต้องซื้อหมู่บ้านคานทองนิเวศน์ให้พี่แกอยู่ซะแล้ว” ผู้เป็นแม่พูดเชิงประชด
“ถ้ารอให้มีผู้ชายมาจีบ มีหวังขึ้นคานเหมือนที่แม่พูดแน่ๆ” ลูกสาวคนเล็กเห็นพ้องด้วย
“แม่ก็ว่าอย่างนั้น ใครจะกล้ามาจีบ ใครพูดไม่เข้าหูเข้าหน่อยก็ไล่ชก ไล่เตะเขาซะงั้น แถมยังไล่ตะเพิดจนผู้ชายหงอกันทั้งบาง พี่แกมีแววเป็นสาวโสดโหนคานทองแน่ๆ” วลัยพรคาดเดาอนาคตลูกสาวคนโตแบบตาเห็น และคิดว่าไม่ผิดจากที่คาดเดาเป็นแน่
“เอาน่าแม่ ไม่แน่นะ บางทีอาจมีพระเอกใจกล้าเข้ามาประชิดตัวพี่ปราง ไม่กลัวหมัด ไม่กลัวเท้าของพี่ปรางแล้วจีบพี่ปรางก็ได้นะแม่” อิสรียาพูดอย่างมีความหวัง แม้ว่าจะน้อยนิดก็ตาม
“แล้วแต่บุญแต่กรรมก็แล้วกัน เข้าบ้านเถอะ แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วจะได้กินกัน” คนเป็นแม่พูดตัดบท ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าบ้านชั้นเดียว ซึ่งสร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของนางและสามีที่เสียชีวิต วลัยพรไม่รู้ว่าจะรักษาบ้านนี้ไว้กับตัวได้นานแค่ไหน เนื่องจากหนี้สินที่มากกว่ารายรับกำลังบีบรัดนางและคนในครอบครัวอย่างหนัก ทว่าทุกชีวิตที่อาศัยในบ้านหลังนี้ ไม่มีใครสักคนที่ย่อท้อหรือสิ้นหวัง ทุกคนมีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะปลดหนี้สินทุกบาททุกสตางค์ให้จงได้
สุมณฑาเดินถือถุงส้มตำปลาร้ารสแซ่บ น้ำตกหมู ไก่ย่าง และข้าวเหนียวร้อนๆ เข้ามาในค่ายมวยจ่าดาบ ศิษย์จอมทอง อาหารโปรดของเธอกับภัทรียาเพื่อนรัก เธอรู้สึกกระชุ่มกระชวยทุกครั้งเมื่อเดินเข้ามาในค่ายมวย เพราะได้เห็นผู้ชายล่ำบึ้กอวดมัดกล้ามซ้อมมวยกันอย่างขะมักเขม้น บางคนเตะกระสอบทราย บางคนกระโดดเชือก บางคนซ้อมมวยอยู่บนเวทีกับเทรนเนอร์ ส่วนคนที่เธอมาหาก็กำลังซ้อมลงนวมกับจ่าเอก ครูมวยที่ปั้นมะปราง ลูกจ่าดาบ ศิษย์จอมทอง ตั้งแต่เริ่มหัดชกมวยครั้งแรก พอภัทรียาเห็นเพื่อนเดินมาหาจึงหยุดซ้อม แล้วเท้าเอวมองหน้าเพื่อน
“ไหนแกบอกฉันว่าจะมาตอนเย็น แล้วมาทำไมตอนนี้”
ภัทรียาทัก คนถูกทักยังไม่ตอบคำถาม แต่กลับพนมมือไหว้และทักทายจ่าเอกก่อน
“สวัสดีค่ะครูจ่า ไม่เจอครูตั้งนาน คิดถึงกระแตบ้างไหมจ๊ะ”
“เอ็งนี่ท่าจะรั่วหนักเหมือนไอ้ปรางมันนะ เอ็งกับข้าเพิ่งเจอกันเมื่อวานนี่เอง ยังจะมาพูดว่าไม่ได้เจอตั้งนาน” จ่าเอกเขกหัวสุมณฑาไม่แรงมากอย่างมันเขี้ยวคำพูดเกินจริงของสุมณฑา
“อ้าวครู ไหงมาว่าปรางรั่วล่ะ คนสวยๆ อย่างปรางไม่มีรั่วหรอก มีแต่น่ารัก สวยสะดุดตา สะดุดใจ” คนถูกพาดพิงโวยกลับ แถมท้ายด้วยการพูดเข้าข้างตัวเอง ทำให้โดนจ่าเอกเขกหัวอีกคน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกัน พรุ่งนี้ต้องมาซ้อมแต่เช้านะ ใกล้วันแข่งแล้วจะมัวมาอ่อนซ้อมไม่ได้”
“รับทราบครับผม” เจ้าของค่ายมวยพูดเสียงหนักแน่นพร้อมตะเบ๊ะ ก่อนจะพนมมือไหว้จ่าเอกที่เดินไปยังห้องพักนักมวยเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวกลับบ้าน
“ฉันซื้อส้มตำป้าเอียดมาฝากแกด้วยนะ ไปกินกันดีกว่า” สุมณฑาโชว์ถุงส้มตำให้เพื่อนดู
“แกบอกฉันว่าจะมาตอนเย็นไม่ใช่เหรอ แล้วมาทำไมซะหัววัน” ภัทรียาถามคำถามเดิมอีกครั้ง ขณะถอดนวมแล้วนำไปวางไว้ตรงชั้นวางนวม
“หัววันที่ไหน นี่มันเที่ยงแล้วนะ ที่ฉันมาก่อนเวลาเพราะกะว่ากินส้มตำเสร็จจะชวนแกไปดูหมอดูไงล่ะ” สุมณฑาตอบเพื่อน
“อีกแล้วเหรอ แกเพิ่งไปดูมาเมื่อเดือนที่แล้วเองนะ จะไปดูอะไรบ่อยๆ”
“แต่หมอดูคนนี้เขาว่ากันว่าแม่นมากเลยนะแก แม่นอย่างกับตาเห็น” หญิงสาวตอบขณะเดินไปหยิบภาชนะมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะแกะถุงอาหารที่ซื้อมาเทใส่จาน
“แกจะดูอะไรหนักหนา ดูไปก็เท่านั้น ถ้าดูแล้วดวงแกดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่ดีแกก็ต้องมานั่งกลุ้มใจ สู้ไม่ดูซะเลยดีกว่า”
ภัทรียาพูดจบก็จกข้าวเหนียวกับส้มตำใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์ แต่เธอคิดว่าการไม่รู้อนาคตล่วงหน้าจากคำทำนายที่ไม่รู้ว่าแม่นจริงหรือไม่ มันเป็นทุกข์อย่างหนึ่ง หากคำทำนายดีก็ดีไป แต่ถ้าผลลัพธ์เป็นไปทางตรงข้ามล่ะ มันคือความทุกข์พุ่งเข้าในใจ
“แต่หมอดูคนนี้ พี่เอิบบอกว่าแม่นมากๆ เลยนะ แม่นเหมือนตาเห็น ขนาดดารา นักร้อง หรือนักการเมืองคนดังๆ ยังมาดูเลยนะแก” สุมณฑาเล่าเรื่องหมอดูที่มีความน่าเชื่อถือให้เพื่อนรักฟัง
“ถ้าแม่นขนาดที่แกว่ามา ค่าหมอดูมันไม่แพงหูฉี่เหรอ แกมีปัญญาจ่ายหรือไง”
“แพงเพิงที่ไหนกัน ราคาย่อมเยา ค่าครูแค่ 59 บาทเอง”
คนที่กำลังจะเอาไก่ย่างใส่ปากถึงกับชะงักค้าง จำนวนเงินค่าหมอดูที่เพื่อนรักบอกว่าแม่นสุดแม่นมันถูกมากหากเทียบกับกิตติศัพท์ที่เพื่อนกล่าวมา
“เฮ้ย! 59 บาทจริงเหรอแก แกฟังมาผิดหรือเปล่า อาจจะ 5,999 บาทก็ได้นะ”
“59 บาทจริงๆ แก พี่เอิบไปดูมาราคานี้ ไม่ผิดหรอก”
สุมณฑากินส้มตำไปด้วยตอบเพื่อนไปด้วย
“แล้วแม่นจริงหรือเปล่า”
ตอนแรกภัทรียาทำเหมือนไม่สนใจ แต่พอสุมณฑายืนยันราคาค่าหมอดูที่ตัวเธอเองจ่ายได้ จึงเกิดความสนใจขึ้นทันควัน
“แม่นสุดๆ พี่เอิบบอกว่า ทายอะไรมาถูกหมดเลย เป๊ะมากๆ เลยนะแก” สุมณฑาย้ำ “โดยเฉพาะเรื่องเนื้อคู่นะแกเอ๋ย แม่นยิ่งกว่าแม่น พี่เอิบเล่าให้ฉันฟังว่าหมอดูคนนี้บอกได้เลยนะว่าจะได้เจอเนื้อคู่วันไหน คนไทยหรือต่างชาติ บางรายก็บอกเลยนะว่าจะเจอกันที่ไหน”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอ มันจะแม่นเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”
“แม่นจริงแก ฉันถึงชวนแกไปพิสูจน์ให้รู้กับตัวไงว่ามันแม่นจริงไหม เพราะฉะนั้นกินส้มตำเสร็จเราไปดูหมอดูกัน”
สุมณฑาสรุป
“โอเค ตามนั้นเพื่อน” ภัทรียารับคำง่ายดายเพราะอยากพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า หมอดูคนนี้จะมีความแม่นยำมากน้อยแค่ไหน