บทที่ 1 วันชื่นคืนสุข 1
งานวิวาห์ของลูกชายรัฐมนตรีปรีชาชาญและคุณหญิงปทุมวดี นรินทร์จรรยา จัดอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะและสมเกียรติ ภายในโรงแรมหรูใจกลางมหานคร แขกเหรื่อที่มาร่วมงานส่วนมากจะเป็นแวววงนักการเมือง รองลงมาคือสังคมชั้นสูงหรืออีกนัยหนึ่งคือ ไฮโซ และที่จะขาดไม่ได้ก็คือ บรรดาเพื่อนตำรวจในสังกัด และเพื่อนๆ ร่วมก๊วนของเจ้าบ่าว ต่างกับเจ้าสาวที่ไม่มีญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสนี้เลยสักคน จะมีเพียงจันยาวีร์ น้องสาวต่างสายเลือดและสามีเท่านั้นที่มาร่วมงานในตอนเช้า
“ถ่ายรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมครอบครัวหน่อยนะครับ”
ช่างภาพหนุ่มฝีมือเยี่ยมที่ถูกจัดจ้างมาถ่ายรูปงานแต่งงานในครั้งนี้เอ่ยบอกเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน รวมทั้งบิดามารดาของฝ่ายชายที่ยืนรับแขกอยู่ตรงซุ้มดอกไม้หน้าประตูทางเข้างาน ปรีชาชาญยืนเคียงข้างกับลูกชาย ส่วนคุณหญิงปทุมวดียืนข้างๆ เจ้าสาว
“คุณแม่ยิ้มหน่อยสิคะ ทำหน้าบึ้งเหมือนก้นลิง เดี๋ยวถ่ายรูปไม่สวยนะคะ” ประภาพรรณหันมากระซิบบอกแม่สามีที่ส่งสายตาเขียวปัดให้ลูกสะใภ้
“ถ้าเป็นเธอจะยิ้มออกหรือเปล่า ถ้าลูกชายแต่งงานกับคนไม่มีสกุลรุนชาติน่ะ” พูดจบก็ยิ้มสู้กล้องเมื่อช่างภาพนับถึงสาม
“ยิ้มออกค่ะ เพราะมิวสามารถ” ประภาพรรณยิ้มร่าตอบกลับไป ฉีกยิ้มให้ช่างภาพกดบันทึกภาพความประทับใจเช่นเดียวกับปทุมวดีที่ฉีกยิ้มกว้างสู้กล้อง ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะกรีดร้องให้ลั่นงานกับความขัดเคืองใจในตัวของลูกสะใภ้
“คราวนี้เจ้าสาวถ่ายรูปคู่กับแม่สามีบ้างนะครับ”
คำขอของช่างภาพเรียกใบหน้าบึ้งตึงให้กับปทุมวดีได้ในฉับพลัน ลำพังถ่ายรูปหมู่ยังฝืนใจจนแทบอาเจียน ถ่ายรูปคู่กันมิฝันร้ายไปตลอดชาติเลยหรือ แต่ทว่านางก็ปฏิเสธไม่ได้แม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม พันกรเจ้าบ่าวของงานกับปรีชาชาญจังเบี่ยงตัวออกห่าง ให้ปทุมวดีกับประภาพรรณถ่ายรูปคู่ร่วมกัน
“ยิ้มแบบเต็มใจหน่อยนะคะคุณแม่สามีขา ไม่ต้องกลัวว่าจะเห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าหรอกค่ะ ยิ้มค่ะยิ้ม ยิ้มให้คนทั้งโลกรู้ว่ารักลูกสะใภ้คนนี้ม๊าก...มาก”
ประภาพรรณกระซิบบอกปทุมวดีที่ยืนฝืนยิ้มเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสะใภ้สุดแสบ นางรีบฉีกยิ้มเต็มใบหน้า ทำทีโอบเอวเจ้าสาวหยิกเอวบางของประภาพรรณเป็นการเอาคืน คนที่โดนหยิกสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังยิ้มสู้แสงแฟลช โอบเอวของแม่สามีบ้าง ส่วนปทุมวดีตอนนี้ไม่ต้องฝืนยิ้มแล้ว นางยิ้มกว้างด้วยความสมใจที่เอาคืนลูกสะใภ้ได้สำเร็จ เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี
“โอเคครับ สวยมากครับ เรียบร้อยแล้วครับ”
พอสิ้นเสียงช่างภาพหนุ่มเท่านั้น ร่างที่โอบเอวกันเมื่อครู่ดีดตัวออกห่าง หุบยิ้มและเชิดใส่กันทันที มองๆ ดูแล้วแม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้จะสมานฉันท์กันมากเหลือเกิน
พอถ่ายรูปเสร็จเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เดินเข้าไปในงาน เพื่อดำเนินพิธีการบนเวทีตามกำหนดการที่ทางโรงแรมจัดตารางไว้ให้ ระหว่างที่บนเวทีกำลังชื่นมื่นอยู่นั้น ด้านล่างเวทีนั้นย่ำแย่เหลือเกิน
“คุณพี่ปทุมคะ ตั้งแต่มาถึงงานคุณน้องเดินทั่วงานไม่เห็นญาติเจ้าสาวเลยสักคน เห็นแต่พวกนักการเมือง เพื่อนของตาพัน และพวกไฮโซเพื่อนๆ ของเรา คุณน้องเลยสงสัยว่า เจ้าสาวเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่เหรอคะถึงไม่มีญาติมาร่วมงาน” คุณหญิงราตรีที่ได้ฉายาว่า คุณหญิงจุ้นจ้านแห่งวงการไฮโซเอ่ยขึ้น หลังจากที่ทนความสงสัยไม่ไหว
“เชอะ...อารมณ์เสีย” ปทุมวดีทำสีหน้าขัดใจ สะบัดหน้าหนีภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังพูดถึงความรักของทั้งสอง
“สงสัยจะใช่ค่ะคุณน้อง ตั้งแต่พันแนะนำตัวมันให้คุณพี่รู้จัก คุณพี่ยังไม่เคยได้ยินมันพูดถึงพ่อกับแม่ของมันเลย พอถามตาพันก็ตัดไปพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุณพี่เองก็ไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงถามมากมาย ไม่อยากจะพูดไม่อยากจะมองหน้ามันด้วยซ้ำ เห็นหน้ามันทีไร โอโซนแถวๆ นั้นมันกลายเป็นมลพิษในบัดดล” ปทุมวดีจีบปากจีบคอพูด คลี่พัดที่อยู่ในมือโบกสะบัดไปมา ค้อนขวับลูกสะใภ้ที่อยู่บนเวที
“หรือว่ามันจะไม่มีพ่อมีแม่ค่ะ ประมาณว่าเป็นเด็กกำพร้า” ราตรีแสดงความคิดเห็น
“มันก็น่าจะใช่ค่ะคุณน้อง แต่ถึงจะมีหรือไม่มีคุณพี่ก็ไม่ชอบหน้ามันค่ะ ไร้สกุล” สีหน้าของปทุมวดีบ่งบอกถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน
“คุณพี่ไม่ชอบหน้ามัน ไม่อยากอยู่ใกล้มันแล้วให้มันแต่งงานกับลูกชายคุณพี่ทำไมล่ะคะ แต่งงานกันแล้วมันก็ต้องย้ายไปอยู่ร่วมบ้านกับคุณพี่ ทีนี้คุณพี่ไม่อ้วกแตกตายหรือคะที่ต้องทนเห็นหน้ามันทุกวัน ไม่ใช่สิ อาจจะทั้งวันด้วย”
เมื่อได้ยินคำถามนี้แล้วปทุมวดีปรี๊ดขึ้นมาอีกรอบ นางยอมรับว่าไม่ถูกชะตาลูกสะใภ้ตั้งแต่ลูกชายพามาแนะนำตัวให้รู้จัก ขัดขวางไม่ให้ทั้งสองคบหากันก็ทำไม่สำเร็จ หาผู้หญิงมาเป็นมือที่สามก็ถูกประภาพรรณฉีกอกซะไม่มีชิ้นดี ล่าถอยไปหลายราย เรื่องแต่งงานนี้ก็เหมือนกัน หากไม่เป็นเพราะปรีชาชาญผู้เป็นสามีเห็นดีเห็นงามด้วย ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย
“นั่นแหละที่คุณพี่กลัว กลัวว่าตัวเองจะอ้วกแตก หน้ามืดตาลายเป็นลมวันล่ะหลายๆ รอบ แล้วเรื่องการแต่งงานก็เหมือนกัน หากคุณปรีชาไม่เห็นดีเห็นงามอย่าหวังเลยค่ะว่างานนี้จะเกิดขึ้น พูดถึงทีไรอารมณ์เสียทุกที”
พูดไปก็โบกพัดไปด้วยคล้ายกับว่าจะดับความร้อนอกร้อนใจของตัวเอง อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บใจที่ประภาพรรณสามารถทำให้ปรีชาชาญเอ็นดูถึงขนาดพูดเข้าข้างเรื่องการแต่งงาน ทั้งๆ ที่นางค้านหัวชนฝาแต่ก็หาได้สำเร็จไม่
“แล้วคุณพี่จะยอมให้มันอยู่ร่วมชายคาอย่างมีความสุขหรือคะ ถ้าเป็นคุณน้องไม่ยอมหรอกค่ะ จะทำทุกวิธีทางที่จะให้มันหลุดออกไปจากวงโคจรของการเป็นสะใภ้” ราตรีเริ่มทำตัวเป็นบ่างช่างยุ
“แต่มันร้ายและหน้าด้านมากเลยนะคะคุณน้อง คุณพี่เกลียดมันเข้าไส้เลยค่ะ คนอะไรไม่มีวัฒนธรรม ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่มีการศึกษา ไม่รู้ว่าตาพันเลือกเป็นเมียได้ยังไง”
พูดถึงลูกสะใภ้ทีไรความดันมันเหมือนจะขึ้นสูงทุกที ประภาพรรณไม่มีอะไรเทียบเทียมลูกชายของนางได้เลย ทั้งการศึกษาและฐานะ ความมีหน้ามีตาในสังคม คงเชิดหน้าชูตาให้กับลูกชายและวงศ์ตระกูลไม่ได้
“เราก็ต้องร้ายกว่า หน้าด้านกว่าสิคุคุณพี่ บ้านก็บ้านของเรา ลูกชายก็ลูกชายของเรา จะให้มันแย่งไปครองง่ายๆ ได้ยังไง เผลอๆ นะคะมันจะทำให้คุณปรีชารักและเอ็นดูมันมากขึ้นกว่าเก่า ทีนี้แหละคะคุณพี่ได้กลายเป็นหมาหัวเน่า เป็นส่วนเกินในครอบครัว ทางที่ดีนะคะ กำจัดสะใภ้นอกคอกนี้ไปดีกว่า แล้วหาสะใภ้ที่ถูกใจ ไม่มีปากมีเสียง ไม่กล้าหือกับคุณพี่ดีกว่านะคะ เชื่อคุณน้อง คุณน้องเคยเจอลูกสะใภ้ร้ายๆ แบบนี้มาก่อน คุณน้องจัดการซะมันเก็บกระเป๋าออกไปจากบ้านแทบไม่ทัน”
ราตรีร่ายยาวจนปทุมวดีเริ่มคล้อยตาม อันที่จริงนางก็ไม่ได้หยุดนิ่งที่จะกำจัดประภาพรรณให้ออกไปจากชีวิตของลูกชาย นางทำแล้วเพียงแต่ว่ามันไม่สำเร็จ ลูกสะใภ้คนนี้ทั้งแสบและหน้าด้านอย่างมากมาย ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจที่ทำอะไรประภาพรรณไม่ได้
“ทำยังไงคะคุณน้อง?” ปทุมวดีให้ความสนใจทันทีที่ได้ยินคำพูดของราตรี
“ก็ไม่เห็นยากเลยค่ะ มันมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกับเราแล้ว เราก็โขกสับมันให้เต็มที่ ใช้งานมันหนักๆ ด่ากระทบกระเทียบมันเข้าไป ทำให้มันรู้ว่าคนอย่างมันไม่สมควรที่จะชูคออยู่วงสังคมชั้นสูงอย่างพวกเรา แล้วก็หาผู้หญิงให้ตาพันไว้เลยค่ะ เสียบเป็นมือที่สามไปเลย รับรองมันต้องทนไม่ได้เก็บกระเป๋าออกจากบ้านแทบไม่ทัน”
ราตรีแนะนำ ปทุมวดียิ้มกริ่มเมื่อได้ยินแผนการนี้ แต่มันติดตรงที่พันกรลูกชายของนาง หากทั้งสองทำตัวติดกันแล้วนางจะหาช่องว่างไปจัดการลูกสะใภ้ได้อย่างไร
“แต่มันติดที่ตากรนี่สิคะ ชอบทำตัวติดกับนางแสบนั่นยังกับปลิง”
“แหม...คุณพี่ขา ตากรก็ต้องไปทำงานนะคะอย่าลืม เราก็ใช้โอกาสนั้นแหละคะ จัดการมันเลย พอตากรกลับมาบ้านเราก็ทำเป็นสมานฉันท์กับมัน ตากรไม่รู้หรอกค่ะ”
“แล้วถ้ามันไปบอกตากรล่ะจะทำยังไง?” ปทุมวดียังกังวลใจไม่เลิก
“ไม่ยากเลยค่ะ ถ้าบอกเราก็แกล้งทำเป็นว่า ทดสอบการเป็นลูกสะใภ้ที่ดี อ้างโน้นอ้างนี่ไปเรื่อย ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเข้าไว้ค่ะ แล้วทุกอย่างมันก็จะอยู่ในมือของเรา” ปทุมวดีเริ่มเห็นเค้าลางของความสำเร็จแล้ว หากทำตามที่ราตรีพูด ประภาพรรณต้องม้วนเสื่อกลับบ้านแน่นอน
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะคุณน้อง คุณพี่จะทำตามที่คุณน้องบอก”
“ดีค่ะคุณพี่ เราเป็นแม่ของลูก ต้องมีสิทธิ์เลือกสะใภ้ ถ้าสะใภ้ที่ลูกชายเลือกให้มันไม่ดี ก็ต้องกำจัดทิ้งไป หาคนใหม่เข้ามาแทนที่ถึงจะเรียกว่าแม่ที่ดีค่ะ” ราตรีกล่าวสนับสนุน “แล้วคุณพี่มีลูกสะใภ้ที่ต้องการหรือยังคะ?”
“มีแล้วค่ะ มีในใจอยู่คนนึงคะ ชื่อบุหงา เป็นลูกสาวของคุณดวงแก้ว ถึงจะไม่ได้เป็นคุณหญิงแต่เชื้อสายเจ้าทางเหนือน่ะคะ รวย มีชาติตระกูล การศึกษาก็สูง มีชื่อเสียงในวงสังคม เลิศหรูสมกับที่จะมาเป็นสะใภ้ของคุณพี่คะ” นึกถึงว่าที่สะใภ้ในดวงใจทีไร รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของปทุมวดีทุกครั้งไป
“อ๋อ...หนูบุหงานี่เอง ดีค่ะเพียบพร้อมทุกอย่าง อย่างนี้สิคะถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งสะใภ้ของตระกูล นรินทร์จรรยา คุณน้องเห็นด้วยค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณน้อง คุณพี่จะรีบจัดการมันให้เร็วที่สุด ถ้ามันออกไปจากบ้านเมื่อไหร่ คุณพี่จะให้พระมารดน้ำมนต์ไล่เสนียดจัญไรที่มันนำเข้ามาให้ออกไปจากบ้านให้หมดเลยค่ะ แล้วจะพาสะใภ้คนใหม่เข้ามาในบ้านทันที” นางมาดมั่นว่าแผนการของนางต้องสำเร็จ หัวเราะและยิ้มล่วงหน้าอย่างมีความสุข
“คุณน้องเอาใจช่วยนะคะคุณพี่ มีอะไรปรึกษาคุณน้องได้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะคุณน้อง งานนี้ได้สนุกกันแน่คะคุณน้องขา” ทั้งสองหัวเราะเบาๆ เบนสายตามองไปยังเวทีที่เสร็จสิ้นพิธีการพอดี ศึกระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้เริ่มขึ้นแล้ว