ตอนที่ 3 บาร์เทนเดอร์สาว
“พี่วินทร์จะทิ้งนุ๊กเหรอคะ ไม่กลัวว่า…”
“อยากพูดอะไรก็พูดไปสิ ชื่อเสียงพี่ไม่ได้ดีอยู่แล้ว อีกอย่างปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายแล้วพี่ไม่สนใจหรอกนะว่าจะต้องเสียชื่อเสียงอีกแค่ไหน เพราะสุดท้ายคนที่พูดเรื่องโกหกก็ต้องรับผลของมันอยู่ดี”
“พี่วินทร์! นี่พี่จะบอกว่าฉันโกหกเหรอคะ"
“ไม่ทำก็ดีแล้ว รีบไปเถอะพี่จะรีบทำงาน”
อีกฝ่ายรีบคว้ากระเป๋าและมือถือเดินออกจากคอนโดนหรูของภาวินทร์ทันที เมื่อเสียงประตูปิดลงภาวินทร์ก็รวบถือแฟ้มที่เพื่อนสนิทเขาเอามาให้เดินเข้าไปในห้องและเอนตัวลงกับเตียงและอ่านอีกครั้ง
“นักศึกษาพยาบาล รับทุนเรียนดีทุกปีเพื่อชำระค่าเทอมแล้วยังมีสิทธิ์สอบชิงทุนเรียนต่อระดับปริญญาโทและบรรจุเข้าทำงานในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เก่งไม่เบาเลยนี่ยัยแว่น”
เขามองรูปถ่ายของเธอและเพ่งดูอีกครั้ง ซึ่งเมื่อมองดูช้า ๆ แบบนี้ก็ยังไม่คุ้นเคยว่าเคยเจอเธอในบาร์นั้นหรือเปล่า เพราะเขาไม่เห็นคนที่มีลักษณะสาวเฉิ่มแบบนี้ในสถานที่แบบนั้น
“จะเป็นไปได้ยังไงที่มองพลาด ถ้ารู้จักและเคยเห็นแค่ผ่านหน้าก็ต้องรู้สึกคุ้นหน้าสิวะ”
ลักษิกาเข้ามาเรียนได้เพราะการสอบชิงทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยได้และยังเป็นที่หนึ่งในคณะพยาบาลมาสองปีซ้อน เธอมีเพียงคุณยายเพียงคนเดียวและไม่มีประวัติของพ่อแม่
“แต่พวกเด็กทุนห้ามทำงานกลางคืนนี่หว่า แล้วเธอไปทำอะไรที่นั่น ถ้าไปที่บาร์นั่นก็แสดงว่าเธอกำลังทำผิดกฎเด็กทุนน่ะสิ ได้การล่ะยัยแว่น ถึงเวลาแก้แค้นเก่าที่เธอทำไว้แล้ว”
ภาวินทร์ลุกจากเตียงและเก็บเอกสารของลักษิกาเอาไว้ในลิ้นชักก่อนจะแต่งตัวพรมน้ำหอมออกจากคอนโดเพื่อท่องราตรี เป้าหมายของเขาคือที่ Q-Bar อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเขาต้องการอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เขาสงสัยผิดหรือถูก
Q-Bar
“อะไรวะ รสชาติไม่อร่อยเหมือนวันก่อนเลยแฮะ นี่น้อง แล้วบาร์เทนเดอร์หญิงคนนั้นไม่มาเหรอ”
“อ่อ เรเน่เหรอครับ เธอจะมาแค่ศุกร์กับเสาร์และอาทิตย์เป็นบางวันที่คนไม่พอครับ”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง”
แต่วันนี้เป็นวันพุธ เขารู้สึกเซ็งเล็กน้อยแต่ก็ฝืนดื่มเครื่องดื่มในมือให้หมดก่อนจะเดินดูรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย จนบาร์ใกล้จะเลิกเขาก็ต้องยอมแพ้เพราะคิดว่ามิวอาจจะไม่ได้มาที่นี่จริง ๆ
“ศุกร์ กับเสาร์งั้นเหรอ แต่เธอก็ชงเครื่องดื่มอร่อยกว่าจริง ๆ ช่างเถอะ”
วันถัดมา / หอสมุด
“ผมมาคืนหนังสือ”
“สักครู่นะคะ…”
ลักษิกาที่กำลังก้มเก็บหนังสืออยู่เมื่อหันมายิ้มและพบว่าคนที่พูดอยู่คือภาวินทร์ก็ทำให้รอยยิ้มของเธอหายไปทันที เขาทันได้เห็นเพียงแวบเดียวก่อนจะมองเธออีกครั้ง ซึ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจหลบตาเขาแต่เขาเลือกจะไม่พูดอะไรกับเธอ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อืม”
“เฮ้ยไอ้วินทร์ อยู่นี่เองไอ้ภัทรโทรมาบอกว่าวันนี้ไปทำรายงานที่หอของมัน อ้าวน้องมิววันนี้มาเป็นบรรณารักษ์ที่นี่เหรอ”
ชินกรเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนของภาวินทร์ที่พอจะสุภาพกว่าคนอื่นแต่เรื่องความเจ้าชู้กลับไม่ได้แพ้เพื่อนคนอื่น ๆ เลยเมื่อหันมายิ้มให้มิวที่กำลังก้มขยับแว่นและเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม ภาวินทร์ไม่เคยรู้สึกรำคาญใครเท่ากับเธอมาก่อน
“ช่างเถอะ รีบไปเถอะ”
“เดี๋ยวสิ กูจะยืมหนังสือมึงไปนั่งรอก่อน”
“อืม”
เขาเดินไปนั่งรอโต๊ะใกล้ ๆ ชินกรเอารายชื่อหนังสือยื่นให้เธอก่อนที่จะพูดกับเธออย่างสุภาพ
“น้องมิวช่วยพี่หน่อยนะ คือรายการหนังสือนี้พี่ไปดูแล้วเหมือนว่าจะไม่มีที่ชั้น ไม่รู้ว่าจะมีที่ยังไม่ได้คัดแยกหรือเปล่า”
“สักครู่นะคะ มิวกำลังแยกหนังสือเข้าชั้นอาจจะอยู่แถวนี้ ส่วนเล่มนี้อยู่ที่ชั้นยี่สิบห้าโซนกลาง ๆ หน่อยค่ะ เล่มนี้…”
ภาวินทร์หันไปมองมิวที่กำลังคุยกับเพื่อนของเขาด้วยท่าทางธรรมดาและยังดูเป็นมิตรกว่าเขา ทั้ง ๆ ที่ชินกรเองก็เป็นหนึ่งในแก๊งเพื่อนสนิทของเขา แต่เธอกลับยอมช่วยเหลือชินกรอย่างเต็มใจและยังยิ้มให้เขาอีกด้วย
“อ่อ ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวพี่ไปเอาเอง หนังสือนี่จะเอาไปเก็บใช่ไหมเดี๋ยวพี่จัดการให้พี่จะไปพอดี”
“ขอบคุณค่ะพี่กร”
“ไม่เป็นไร พี่ฝากหาเล่มนั้นให้ทีนะ”
“ได้ค่ะ”
ชินกรรีบเข็นรถไปที่ชั้นวางหนังสือเป็นการตอบแทนที่เธอช่วยหาหนังสือให้เขา ภาวินทร์นั่งมองมิวที่ไล่หาหนังสือที่ชินกรต้องการเพื่อจะนำไปทำงานโปรเจคของกลุ่มพวกเขา เธอมองเห็นแค่ชั้นที่อยู่เสมอสายตา ส่วนเขาเห็นหนังสือเล่มที่ชินกรจะหาแล้วจึงเดินเข้าไปด้านหลังเธอเพื่อจะหยิบมาให้
“เล่มนี้”
“ขอบคุณค่ะพี่กร…. เอ่อ ขอบคุณ”
เธอปรับน้ำเสียงเย็นชาใส่เขาซึ่งทำให้ภาวินทร์หงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น ทีกับชินกรเธอพูดเหมือนกับรุ่นพี่ในคณะเดียวกัน เขาจึงอยากแกล้งเธอนิดหน่อย
“คิดไม่ถึงว่าจะมาทำหน้าที่พิเศษที่นี่ด้วย”
“ไม่ได้ใช้ชีวิตไร้สาระเหมือนใครบางคนนี่คะ”
“นี่! … ไม่รู้สำนึกฉันอุตส่าห์ช่วย”
“หึ ใช่เหรอคะ หนังสือนั่นพวกคุณก็กำลังหา ฉันเป็นเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ก็ทำตามหน้าที่ ในเมื่อหาเจอแล้วก็รีบทำเรื่องยืมเถอะค่ะจะได้ไม่เสียเวลาคนอื่น”
“นี่คุณบรรณารักษ์”
เขารู้สึกหมั่นไส้ความหยิ่งของเธอตั้งแต่วันที่เธอด่าเขาหน้าคณะวันนั้นแล้ว ตอนนี้จึงนึกอยากจะแกล้งคืนเขาก้มลงมาเกือบจะชิดหน้าของเธอ กลิ่นหอมบางอย่างที่ไม่เหมือนน้ำหอมราคาแพงแต่ก็ไม่ได้ฉุนจนน่ารำคาญทำให้ภาวินทร์เผลอมองทะลุแว่นหนา ๆ นั้นอย่างลืมตัว
“รุ่นพี่คะ คุณจะทำอะไร”
“กำลังจะ….”
เขาก้มลงไปอีกนิดจนเธอหลับตาและยกมือขึ้นมาบังทำเอาเขากลั้นขำและรีบหันไปหยิบหนังสืออีกเล่มออกมา
“เอื้อมเอาหนังสือ รอไอ้กรมายืมทีเดียวก็แล้วกัน”
เขาพูดเชิงกระซิบซึ่งทำให้มิวรู้สึกใจสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ เธอหันไปคว้าชั้นหนังสือเหมือนจะจัดของในชั้นซึ่งภาวินทร์ที่หันไปเห็นใบหูที่แดงจัดจนลงมาถึงคอก็รู้สึกสะใจเล็กน้อยที่ได้แกล้งเธอ
“หึ “ยัยลูกแกะน้อย” แค่นี้ก็สั่นจนลนลานแล้ว”
ไม่นานชินกรก็เดินกลับมาพร้อมกับหนังสือในมือและเขาก็ได้ยืมหนังสือทั้งหมดก่อนจะเดินมาหาภาวินทร์
“ไปเถอะวินทร์เดี๋ยวไอธิศกับไอ้ภัทรจะรอ”
“อืม”
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากหอสมุดภาวินทร์จึงได้หันไปถามชินกร
“ไอกร มึงคุยกับยัยเด็กแว่นนั่นได้ด้วยเหรอวะ”
“ใคร อ๋อน้องมิน่ะเหรอ ก็กูไม่เคยร่วมแซวน้องเหมือนพวกมึงเลยนี่ อีกอย่างนะกูเป็นคนเดียวที่มาที่หอสมุดแล้วเจอน้องบ่อย ๆ ที่จริงมิวก็ไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้นะเว้ย ได้ทุนเรียนดีทุกปีไม่ต้องเสียค่าเทอม อีกอย่างคะแนนเธอก็สูงเป็นอันดับหนึ่งถึงจะไม่สวยเป็นดาวคณะแต่ก็เรียนเก่ง ที่จริงนอกจากเรื่องที่พวกมึงล้อแล้ว น้องมิวถือเป็นคนน่าคบหาคนหนึ่งเลยล่ะ นิสัยใช้ได้เลยนะมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ครั้งแรกที่กูหาหนังสือไม่เจอก็ได้น้องช่วยแต่ก็แอบหน้าซีดเหมือนกันนะเพราะเหมือนว่ามิวจะจำกูได้ ฮ่า ๆ”
ชินกรเล่าไปพร้อมกับหัวเราะเพราะครั้งแรกที่เจอเธอในหอสมุด คือตอนที่เขาตามหาหนังสืออยู่เล่มหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกเอามาวางที่ชั้น มิวที่เข้าเวรเป็นบรรณารักษ์จึงเดินมาถามเขาเมื่อหันมาแล้วพบว่าเป็นเขา เธอถึงกับถอยและรีบเข็นรถไปทันที
เขาเรียกเธอเอาไว้เพราะเห็นว่าหนังสือที่เขากำลังหาอยู่ที่รถของเธอ จากนั้นเขาก็ขอโทษและชวนเธอคุยและสอบถามเรื่องหนังสือเล่มอื่นที่เขาจะใช้ทำโปรเจคซึ่งเธอช่วยเขาได้อย่างดีเยี่ยม
“ไอ้กร ทำไมมึงพูดไปยิ้มไป”
"เปล่าโว้ย ถึงกูจะบอกว่าน้องนิสัยดีน่าคบแต่ไม่ใช่สไตล์กู มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบแนวใส ๆ แบบนี้"
“ยัยแว่นนั่นน่ะเหรอน่าคบหา แค่พูดก็ขนลุกแล้ว"