บทที่ 2 แฟนผมคนไหน 1
บทที่ 2
แฟนผมคนไหน
บ้านที่กันติทัตพักอาศัย เป็นบ้านปูนสองชั้นหรูหรา แต่ตั้งกลางเนื้อที่ไม่กว้างขวางนัก เขาซื้อบ้านหลังนี้ไว้ใช้พักผ่อนตอนมาเยือนเมืองไทย
หลังได้รับอุบัติเหตุครั้งก่อน วิสานีก็ส่งแม่บ้านร่างอวบอ้วนให้มาคอยช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกให้กันติทัต แม้ชายหนุ่มจะแย้งว่าเขาต้องการอยู่คนเดียว แต่มารดาก็ไม่ยอมฟังเสียงเขาเลย
ในบ้านหลังนี้จึงมีคนอาศัยอยู่สองคน คือตัวเขาเอง และเจซี่ คนรับใช้ที่จู้จี้จุกจิกแต่ก็หวังดีกับเขาเสมอ
หลังจากกลับจากตลาด กันติทัตก็ส่งผลไม้ที่ซื้อมาให้เจซี่เอาไปล้างน้ำและใส่จานให้ ส่วนตัวเองก็มานั่งอยู่ริมระเบียงที่ชั้นสอง มองออกไปทางถนนเส้นใหญ่ที่มีรถสัญจรผ่านไปมา พร้อมความคิดที่เริ่มล่องลอยไปไกล
เขามาเมืองไทยเมื่อเกือบ 3 เดือนก่อน แต่ทว่า…ความทรงจำช่วง 90วันนั้นกลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทำไมตัวเองถึงเจ็บหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
ต้องอยู่อย่างคนที่มึนงงกับชีวิต เหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อเกือบเสร็จแล้ว แต่กลับมีช่องหนึ่งที่หายไป เขาอยากรู้ว่าใครกันที่ทำให้เขาอาการสาหัสจนต้องเข้าโรงพยาบาล และช่วงเวลา 3เดือนที่เขาจำไม่ได้นั้น…เขาอยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
จนกระทั่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน เขาได้ฝันประหลาด ฝันว่าได้ร่วมเตียงกับสาวสวย และพร่ำบอกว่ารักกันทุกค่ำคืน จนตอนนี้ผ่านไปถึง 10วันแล้ว แต่ความฝันนั้นก็ไม่ยอมจางหายไปสักที นับวันจะยิ่งฝันยาวนานขึ้นเรื่อยๆ เป็นฝันที่วาบหวามแสนสุข ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมากลางดึก เขากลับเจ็บปวดที่หัวใจราวมีใครเอามือมาบีบคั้น
ใครกัน…ผู้หญิงในฝันคนนั้นเป็นใครกัน ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วทำไมถึงต้องฝันเห็นหล่อน ?
อาการคลื่นไส้เริ่มกำเริบอีกครั้ง จนชายหนุ่มต้องหลับตา ก่อนจะตะโกนถามเจซี่
“เจซี่…ผลไม้ล้างเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้วค่า” แม่บ้านร่างอวบรับคำ พร้อมผลักประตูออกมานอกระเบียง ในมือถือจานใบหนึ่งซึ่งใส่มะยม มะม่วงที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นๆ “คุณกันต์ทานแต่ของเปรี้ยว ไม่ค่อยทานข้าวแบบนี้ สุขภาพจะทรุดโทรมลงนะคะ”
เจซี่พูดเป็นภาษาอังกฤษ เพราะหล่อนไม่เคยชินกับการพูดภาษาไทยสักเท่าไหร่นัก ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบกลับไปด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน
“ผมไม่ค่อยอยากทานข้าวเลยเจซี่ ยิ่งเห็นพวกเนื้อสัตว์ ผมยิ่งอยากอ้วก ตอนนี้อยากทานแต่ของเปรี้ยวๆ ยิ่งเปรี้ยวเข็ดฟันยิ่งดี”
“อาการเหมือนคนแพ้ท้องเลยนะคะคุณกันต์ แพ้หนักซะด้วยสิ” เจซี่รำพึง และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงัก ก่อนจะทำหน้างอ
“พูดเหมือนมี๊อีกแล้ว ทำไมชอบสันนิษฐานว่าผมแพ้ท้องด้วย ผมเป็นผู้ชายนะ จะท้องได้ไง”
และพอเห็นว่าแม่บ้านตั้งท่าจะอ้าปากเถียง เขาก็รีบพูดดักคอทันที
“และก็ไม่ต้องคิดว่าผมแพ้ท้องแทนเมียด้วย ตลอด 1ปีมานี้ ผมไม่ได้ยุ่งกับผู้หญิงเลย ผมอาจจะเป็นโรคกระเพาะก็ได้”
“ถ้าเป็นโรคกระเพาะ คุณกันต์กินยาที่หมอให้มาเกือบสิบวันแล้วนะคะ ทำไมยังไม่หายอีก”
ชายหนุ่มหน้างอหนักขึ้นไปอีก ทำเสียงเหมือนไม่พอใจนักว่า “สรุปคือจะให้ผมแพ้ท้องให้ได้เลยใช่ไหมครับ”
“แหม เปล่าหรอกค่ะ ป้าก็พูดไปเรื่อย แค่แปลกใจเท่านั้นเองว่าถ้าเป็นโรคกระเพาะ ทำไมไม่หายสักที”
“คงเป็นเพราะร่างกายผมเพิ่งพักฟื้นจากอุบัติเหตุครั้งก่อนก็ได้ครับ จริงสิ…ขอยาแก้คลื่นไส้ให้ผมด้วย รู้สึกผะอืดผะอมอีกแล้ว” กันติทัตส่งจานเปล่าๆคืนให้เจซี่ ซึ่งหญิงวัย 50ปีก็เอื้อมมือรับจาน ก่อนเดินหันหลังจากไป สักพักก็กลับเข้ามาใหม่พร้อมยา 1 เม็ดและแก้วน้ำ
“ไม่ทานยาแก้ปวดด้วยเหรอคะ” หล่อนถาม เมื่อชายหนุ่มกินยาที่หล่อนนำมาให้เสร็จแล้ว
“ไม่ล่ะเจซี่ บาดแผลของผมหายดีแล้ว แต่นานๆครั้งก็มีปวดตุบๆเหมือนกัน แต่ไม่ได้รุนแรงมาก ไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะ”
“แต่ความจำของคุณ…” พูดค้างไว้เพียงเท่านี้ เจซี่ก็ถอนหายใจ หล่อนเพิ่งมาอยู่คอยรับใช้เจ้านายหนุ่มหลังเกิดเหตุร้ายขึ้นกับเขา ดังนั้นหล่อนจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่า ช่วงเวลาที่ความทรงจำของเขาขาดหายไปนั้น มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ผมจะต้องตามหาความทรงจำที่ขาดหายไปให้ได้ เพราะผมรู้สึกเหมือนลืมเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากๆไป และทุกครั้งที่พยายามนึกถึงมัน ผมจะต้องปวดหัวทุกครั้ง” หน้าคมเข้มหม่นหมองลงชั่วขณะ พลางส่งแก้วน้ำคืนให้เจซี่
“ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะคุณกันต์ อย่าฝืนพยายามคิดมากนัก ไม่งั้นสุขภาพคุณจะแย่ลงได้”
“ครับ…” ชายหนุ่มรับคำ ดวงตาเหม่อมองไปทางเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย…จุดสีดำเล็กๆที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาคืออะไรกันนะ เมื่อไหร่จะนึกออกเสียที !
เจซี่เดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งอยู่ริมระเบียงตามลำพัง ท้องฟ้าที่เคยสดใสพลันมืดมัวลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เสียงฟ้าคำรามก้อง มาพร้อมหยาดพิรุณที่ร่วงโปรยลงสู่ผืนธรณี
ชั่วขณะหนึ่ง…เหมือนโลกหยุดหมุนไปเสี้ยววินาที เมื่อสายตามองไปบนผืนฟ้าที่มีเมฆสีดำทะมึนปกปิดความสว่างไสว คล้ายเห็นภาพบางอย่างหยุดพรายขึ้นมา…ภาพหญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูน่ารัก
“พี่กันต์ ใส่ชุดนี้แล้วเป็นไงคะ”
“น่ารักที่สุดทูนหัว” เขาตอบอย่างปลื้มใจ คว้าคนตัวเล็กมากอดแนบอก “อาทิตย์หน้าพี่จะพาไปอังกฤษนะครับ ไปไหว้พ่อแม่ของพี่กัน แล้วเราจะจัดงานแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”
บทสนทนาที่ดังก้องในหู เขาจำได้ว่าเสียงผู้ชายคือเสียงของเขา แล้วเสียงผู้หญิงนั่นล่ะ…ใครกัน ? ครั้นพยายามมองหน้าคนในวงแขน แต่กลับเห็นหน้าหล่อนไม่ชัดเพราะมันพร่าเบลอไปหมด