2.คำขอร้องครั้งสุดท้าย
“โปรดทรงพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!!” แววตาราชสีห์กวาดมองกลุ่มเสนาบดีตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เสียงกึกก้องของกลุ่มคนตรงหน้ายังคงดังต่อเนื่องสม่ำเสมอ สองตาคมกวาดมองเนื้อความในกระดาษผืนกว้างตรงหน้า
“ท่านเห็นควรว่าจะให้ข้าแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาท องค์ชายเจ็ดหลานของท่านเช่นนั้นน่ะหรือ” สีหน้าของคนนั่งบัลลังก์ราบเรียบทว่ายกยิ้มเยาะหยันความคิดของชายอาวุโส ก่อนที่จะพูดต่อ
“คนที่ไม่รู้หน้าที่ไม่ใฝ่เรียนรู้ เอาแต่ใช้ชีวิตสำราญไปวัน ๆ ท่านคิดว่าแคว้นจิ้งต้องการรัชทายาทเช่นนั้นใช่หรือไหม?”น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงพลังเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในผืนทะเลกล่าวกับคนตรงหน้าที่ยึดหน้าผากของตนอยู่บนพื้น
“พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าเซี่ยหงจงมิอาจเอื้อมพ่ะย่ะค...” น้ำเสียงสั่นเทาของเสนาบดีอาวุโสเอ่ยยังไม่ทันจบประโยค
“ท่านเสนาบดีเซี่ยหงจงท่านไม่มีชื่อของผู้ใดจะเสนอแต่ท่านกล้าที่เสนอฎีกาถอดถอนราชโองการของเจิ้น[ ฮ่องเต้เรียกแทนตัวเองกับเหล่าเสนาบดี] อย่างนี้เรียกไม่กล้าสินะ” สองตาคมทอดมองคนตรงหน้าจากบัลลังก์ เครื่องเครานุ่งห่มแสดงตำแหน่งของเซี่ยหงจงสั่นเทาอย่างไม่ต้องสังเกตก็สามารถเห็นได้ง่าย
“พระอาญามิพ้นเกล้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสมควรตาย”เสนาบดีอาวุโสโยกตัวคำนับ จดหน้าผากของตนลงกับพื้นแสดงความเคารพคนบนบัลลังก์อีกหลายครั้ง เขารู้ดีว่ากระทำในการล่อแหลมครั้งนี้มีผลต่อชีวิตของตน จึงคิดเอาประเพณีที่มีมาตั้งแต่เก่าก่อนที่เขายกขึ้นเป็นข้อโต้แย้ง
“เซี่ยหงจง!!”น้ำเสียงกร้าวดั่งราชสีห์คำรามดังก้องท้องพระโรง พาให้เหล่าเสนาบดีเผลอเงยหน้าขึ้นสบพระพักตร์ราบเรียบยกเว้นแต่ผู้ที่ถูกขานชื่อ ก่อนที่ฝ่ามือกร้านจะฉวยเอาจอกน้ำชาร่อนกระทบกับพื้นแตกกระจายตรงหน้า เศษเสี้ยวกระเบื้องเนื้อดีกระดอนพื้นเข้าต้องหนังหน้าที่ร่วงโรยตามวัยพาให้โลหิตหยาดออกมาจากบาดแผลตกต้องพื้นท้องพระโรง
“ท่านคงต้องทนกับความโง่เขลาไร้สามารถที่จะพิจารณาถูกผิดของเจิ้นอย่างข้ามาหลายต่อหลายครั้งสินะ! จากนี้ท่านคงไม่ต้องทนกับสิ่งขวางหูขวางตาท่านอีกแล้ว” น้ำเสียงทุ้มยังคงราบเรียบ ทว่าทรงพลังทุกน้ำคำดำดิ่งเข้ากลางใจของคนตรงหน้า เซี่ยหงจงเสนาบดีอาวุโสได้แต่ภาวนาให้ฮ่องเต้ทรงคล้อยตามเนื้อหาในฎีกาก็เพียงเท่านั้น
…
เด็กหนุ่มรูปงามสง่าวัยสิบสี่หนาวทรงชุดคลุมสีดำสนิทลงดิ้นทองลายกรงเล็บพยัคฆ์ ยืนนิ่งหน้ามองตรงสีหน้าเรียบอยู่ข้างบัลลังก์ในท้องพระโรงทอดสายตามองเซี่ยหงจงแววตาส่อเยาะในความกำเริบเสิบสาน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของเขา
เซี่ยหงจงค้อมตัวอยู่กับพื้นเนื้อตัวสั่นงันงก เขาลอบบีบมือที่ประสานกันคารวะผู้สูงศักดิ์ไว้แน่น
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ!”
ริ้วลมพัดเข้านอกออกในท้องพระโรง ทว่าก็ไม่อาจหอบเอาความตึงเครียดที่กำลังก่อตัวขึ้นในระหว่างที่ผู้ทรงบัลลังก์กำลังพิจารณาฎีกาที่เซี่ยหงจงยื่นเข้ามาได้ สีหน้าคร่ำเครียดของมหาบัณฑิตข้างบัลลังก์ตั้งอกตั้งใจวาดพู่กันลงบนกระดาษผืนกว้างจารึกลายลักษณ์อักษรตามคำวินิจฉัยขององค์ฮ่องเต้อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่อู๋กงกงที่ยืนรอถวายงานอยู่หน้าแท่นบัลลังก์จะเดินเข้ามารับม้วนกระดาษที่มหาบัณฑิตยื่นมาให้ตามขั้นตอนตุลาการ
“พระอาญามิพ้นเกล้า อู๋กงกงน้อมรับราชโองการ” ชายอาวุโสก้มศีรษะคำนับต่อหน้าบัลลังก์ก่อนที่จะคลี่กระดาษม้วนหนาในมือออกอ่าน
“พระวินิจฉัยองค์ฮ่องเต้เยวี่ยจั้น ราชวงศ์จิ้ง มีความดังนี้ ขุนนางขั้นสองเซี่ยหงจง ประพฤติตนผิดทำนองคลองธรรม ยื่นมือเข้าไปวุ่นวายกับวังหลังซ้ำยุยงบรรดาองค์ชายให้แตกสามัคคี โทษมหันต์นัก ให้นำตัวเข้าคุกหลวงรอประหารในอีกสามวันจากนี้ เซี่ยเจาอี๋ไม่สามารถควบคุมดูแลบิดาและบุตรชายได้ ส่งเข้าตำหนักเย็น องค์ชายเจ็ดไม่สนใจการเล่าเรียน แอบอ้างบารมีเบื้องสูงข่มบุตรหลานขุนนางใหญ่จนเป็นที่เอือมระอา ให้ขุกเข่าอยู่หน้าศาลบรรพชนสามวัน จากนั้นถอดยศเป็นสามัญชน ชั่วชีวิตห้ามเหยียบเข้าเมืองหลวงอีก หากฝ่าฝืนให้ประหารได้ทันที แล้วจึงรายงานภายหลัง”
เซี่ยหงจงผู้ถูกพิพากษาพลันก็ทรุดเข่าลงกับพื้นทันทีที่ได้ยินพระราชวินิจฉัยที่ส่งผลกระทบไปยังลูกสาวและหลานชายทำให้เขาทุกข์จนแทบกระอักเลือด ใบหน้าของเขาถอดสีไม่มีเค้าความอวดดีหลงเหลืออยู่ เขาไม่นึกว่าเวลาล่มสลายของสกุลเซี่ยจะมาถึงเพราะการกระทำของเขา ยุครุ่งโรจน์ที่สืบมาแต่บรรพบุรุษนับร้อยปีมาจบลงภายในชั่วจิบชา
“พระอาญามิพ้นเกล้า ขอฝ่าบาททรงเมตตากระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”สองเข่าของเซี่ยหงจงรีบคลานเข้าไปยังหน้าบัลลังก์อย่างรู้งาน ด้วยหวังจะอุทธรณ์โทษที่ตนได้รับ อย่างน้อยเขาก็เคยมีความดีความชอบสะสมมาบ้าง ทว่าเซวียนจางหย่งชักกระบี่ออกจากฝักเข้าขวางหน้า บ่งบอกให้เขารับรู้ว่าไม่ได้รับสิทธิ์แม้กระทั่งขออุทธรณ์ ทั้งยังเล็งปลายคมจ่อเข้ากับใบหน้าน่ารังเกียจห่างจากดวงตาของเขาไม่ถึงสองชุ่น
ร่างของชายอาวุโสสิ้นสติกลางท้องพระโรงท่ามกลางเสียงโหวกเหวกและโวยวายของสายเลือดสกุลเซี่ย ฮองเต้เห็นต่อตาเช่นนั้นก็ได้แต่โบกพระหัตถ์ไล่อย่างมิได้ใส่ใจ อู๋กงกงพยักหน้าให้ข้าหลวงพาร่างไร้ซึ่งสติของอดีตขุนนางใหญ่ออกจากท้องพระโรงไป
…
เจ้าของดวงตาพยัคฆ์กวาดมองความวุ่นวายในท้องพระโรง ก่อนที่จะทรงพระราชดำเนินออกจากบัลลังก์พร้อมกับเซวียนจางหย่งพระราชนัดดาโดยมีอู๋กงกงรีบตามไปติด ๆ ยังตำหนักกลาง ก่อนจะเดินลัดออกไปทางห้องเครื่อง