บทที่ 5
แต่! ความโชคดีช่างไม่เข้าข้างอดีตแชมป์ร้อยเมตรซะเลย ร่างบางระหงวิ่งไปได้ไม่ไกลก็สะดุดขาตัวเองล้มหน้าคะมำไปกับพื้นถนน
“กรี๊ดดด...โอ๊ย...”
“ฮ่าๆๆๆ”
พันธิสาร้องเสียงหลง โอดครวญด้วยความเจ็บปวด ในขณะเดียวกัน
ฟาธิสกลับยืนเท้าสะเอวหัวเราะร่วนด้วยความขบขำ เมื่อเห็นร่างบางระหงกลิ้งหลุนๆ ไปตามถนนลาดชัน
“เจ็บไหม...คานิม...”
แทนที่จะเข้าไปช่วยประคองร่างบางให้ลุกขึ้นยืน ฟาธิสกลับยืนมองเฉย น้ำเสียงที่เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ หาได้เป็นห่วงแม่เสือแสบอย่างพันธิสาไม่!
พันธิสาทั้งเจ็บทั้งอายคนที่ยืนหัวเราะเยาะเย้ยเธอ หญิงสาวกัดฟันดังกรอดๆ ยันกายนั่งกับพื้น กระแทกเสียงตอบด้วยความโมโห
“ลองมาล้มหน้าคะมำเหมือนฉันดูสิ จะได้รู้ว่าเจ็บไหม”
“ไม่ล่ะ ไม่อยากให้ใบหน้าหล่อๆ ของผมไปจูบกับพื้นสกปรก” เอ่ยตอบไปแล้ว ฟาธิสก็หัวเราะร่วนกับคำพูดประชดประชันที่ลอยมากระทบหู
“หล่อตายเลย!”
พันธิสาประชดเสียงลอดไรฟัน แต่ก็ยอมรับว่านายจ้างของเธอหล่อลากดิน นายแบบบนแคทวอล์คที่ว่าหล่อแล้วยังไม่หล่อเท่ากับฟาธิส คาลร์รา
“จะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม คานิม...”
ฟาธิสลากเสียงถาม ยักคิ้วใส่อย่างยียวน นึกแปลกใจตัวเองที่กลาย
เป็นคนขี้เล่น เสือยิ้มยากอย่างเขา กลับหัวเราะและยิ้มได้ง่ายดาย นับตั้งแต่นาทีแรกที่ได้เห็นหน้าพันธิสา
“จะนั่งไปจนถึงเช้านั้นแหละ”
พอยันกายลุกขึ้นนั่งได้แล้ว พันธิสาก็นั่งขัดสมาธิ ยกมือกอดหน้าอก ตั้งใจจะทำให้เห็นว่าต้องการทำเช่นดั่งที่พูดออกมาจริงๆ
“ตามใจ อยากนั่งแช่แข็งอยู่บนถนนก็ตามใจ ผมขอเข้าไปในบ้าน นั่งจิบชาอุ่นๆ อยู่หน้าเตาผิงไฟดีกว่า”
ร่างใหญ่กำยำหมุนตัวทำท่าจะผละเดินหนี ขณะเดียวกันก็ลอบอมยิ้ม นับหนึ่งถึงสามอยู่ในใจ เชื่อว่าพันธิสาต้องเรียกเขาไว้อย่างแน่นอน
และก็เป็นดั่งที่ฟาธิสนึกคิดไม่มีผิด เมื่อพันธิสาตะโกนเรียกเขาไว้ แม้หญิงสาวจะเรียกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่อ่อนหวานดั่งที่ควรเป็น กระนั้นก็ถือได้ว่าเขาได้รับชัยชนะในยกแรกแล้ว
ทางด้านของพันธิสา ไม่นึกอยากเอ่ยเรียกเจ้านายสุดหล่อเหลาไว้เลย อีกทั้งไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายด้วย แต่ก็จำใจต้องเรียกฟาธิสไว้ เพราะขณะยันกายลุกขึ้นยืนก็เจ็บแปลบตรงข้อเท้าด้านซ้าย จนต้องร้องโอดครวญทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นถนนเช่นเดิม
“โอ๊ย...เจ็บชะมัด...”
พันธิสาร้องออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง พอเห็นฟาธิสตั้งหน้าตั้งตาเดินหนี ก็ตะโกนเรียกด้วยความโมโห
“นี่คุณ! เป็นนายจ้างประสาอะไร ไม่สนใจลูกจ้างเลย ไม่เห็นหรือยังไงว่าลูกจ้างคุณได้รับบาดเจ็บอยู่”
“แล้วใครบอกให้คุณวิ่งหนีผมล่ะ พันธิสา” ฟาธิสหันมาต่อว่าลูกจ้างสุดแสบบ้าง
พันธิสาเชิดหน้าขึ้นไม่ต่างจากนางพญา ก่อนจะเอ่ยตอบหน้าตาย
“ฉันนี่แหละสั่งตัวเองให้วิ่งหนีคุณ”
“แล้วทำไมไม่หนีอีก ตอนนี้ผมให้โอกาสคุณหนีไปจากผมได้อย่างเต็มที่” ฟาธิสเอ่ยท้าทาย เพราะรู้ว่ายังไงๆ พันธิสาก็ไม่มีทางหนีเอาได้พ้น
“วิ่งหนีอะไรล่ะ เจ็บขาจนลุกขึ้นยืนไม่ไหวแล้ว ไม่เห็นหรือยังไง”
พันธิสาต่อว่าด้วยความโมโห...โมโหฟาธิส และโกรธตัวเองที่ดันสะดุดขาตัวเองล้มไม่เป็นท่าจนข้อเท้าเคล็ด
ฟาธิสทรุดตัวลงนั่งยองๆ บนส้นเท้าตัวเอง ยื่นใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาระบายไปด้วยรอยยิ้มกว้างเข้าไปใบหน้างาม ซึ่งตีหน้าง้ำไม่พอใจ ก่อนจะกระซิบถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“อยากขอความช่วยเหลือจากผมไหม คานิม”
“ให้ตายเถอะ! อยากชกหน้าหล่อๆ ซะจริงๆ เลย”
พันธิสาเค้นเสียงเหน็บ ทำเอาฟาธิสอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ถ้าคุณชกหน้าผมอีกครั้ง คราวนี้ผมจะจับคุณเมคเลิฟซะตรงนี้นี่แหละ”
ฟาธิสขู่เสียงกระเส่า บอกตัวเองว่าตอนนี้เขาอยากเมคเลิฟกับพันธิสาเป็นที่สุด
“ไม่ต้องมาขู่! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะกล้าทำตามที่พูด”
“อย่าท้าเชียวนะ พันธิสา คนอย่างฟาธิสทำตามที่พูดได้เสมอ”
พอฟาธิสตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาคมกริบเผยความปรารถนาให้เห็น คนที่เอ่ยท้าทายเสียงดังลั่นเริ่มหวาดกลัวว่าฟาธิสจะทำตามที่พุดจริงๆ จึงเลิกท้าทายอีกฝ่าย เปลี่ยนมาเป็นขอร้องแทน
“นี่คุณ...ฉันเจ็บข้อเท้า ช่วยพยุงฉันลุกขึ้นยืนหน่อยได้ไหม”
“เสียงแข็งไปนิดนะคานิม” ฟาธิสยังคงนั่งนิ่งเฉยไม่ทำตามขอร้องของพันธิสา
“อย่าให้ถึงทีของฉันบ้างนะนายฟาธิส แม่จะเล่นงานให้อ่วมอรทัยไปเลย” พันธิสาขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน เค้นเสียงฝากรอยแค้นไว้เป็นภาษาไทย
แม้จะฟังไม่ออกว่าพันธิสาพูดว่าอย่างไรบ้าง แต่ฟาธิสก็พอจะรู้ว่าพันธิสาไม่ได้เอ่ยอวยพรให้กับตนเองอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเค้นเสียงพูดห้วนๆ แล้ว เขายังได้ยินเสียงกัดฟันดังเล็ดลอดมาด้วย
“คุณสุภาพสตรีครับ กรุณาพูดภาษาสากลได้ไหมครับ ผมฟังภาษาของคุณไม่ออก และช่วยกรุณาบอกผมด้วยว่าเมื่อสักครู่คุณพูดว่าอย่างไรบ้าง” ฟาธิสเอ่ยถามยิ้มๆ มั่นใจว่าพันธิสาไม่มีทางบอกเขาอย่างแน่นอน
“ไม่บอก!” พันธิสาตอบเสียงห้วนๆ
ฟาธิสฉีกยิ้มกว้าง ยักไหล่ใส่อย่างยียวน ลอยหน้าลอยตาเอ่ยพูดให้พันธิสาต้องกัดฟันดังกรอดด้วยความหมั่นไส้เหลือกำลัง
“ผมเรียนภาษาของคุณมานิดหน่อย ผมพอจะแปลออกว่า เมื่อสักครู่คุณบอกว่ารักผมมาก และพร้อมเป็นภรรยาที่ดีของผมตลอดไป”
“กรี๊ดดด...ไอ้บ้า...โมเม...มั่วที่สุดในโลก ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย ฉันด่าคุณต่างหากเล่า”
“ฮ่าๆๆๆ”
ฟาธิสปล่อยเสียงหัวเราะร่วนกับเสียงร้องกรี๊ดตะโกนด่าของพันธิสา บอกตัวเองว่าชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสีสัน และมีความสุขในทันทีที่มีพันธิสาร่วมอยู่ด้วย และคงดีไม่น้อย หากมีร่างอรชรหอมรวยระริน ประคองกอดในทุกค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาว
“นี่! คุณฟาธิส จะนั่งอมยิ้มฝันหวานไปอีกนานไหม ฉันหนาว...ช่วยพยุงฉันลุกขึ้นยืนได้หรือยังคะ”
พันธิสาตวาดแว้ด อากาศที่เริ่มเย็นลม กอปรกับมีลมพัดแรง ยิ่งทำให้หนาวเหน็บเข้ากระดูก จนไม่อยากนั่งตากลมอยู่ตรงนี้อีกต่อไป พอถูกพันธิสาตวาด ฟาธิสก็แสร้งทำเสียงในลำคอ ต่อว่ากลับคืนบ้าง
“ผมกำลังมโนภาพตอนที่คุณนอนเปลือยกายอยู่บนเตียง และเราสองคนกำลังเมคเลิฟกันอยู่ด้วยความสุข คุณไม่น่าขัดจังหวะผมเลย”
“กรี๊ดดด...ไอ้บ้ากาม!”
พันธิสาทั้งตะโกนด่า ทั้งผลักร่างใหญ่กำยำที่หัวเราะร่วนด้วยความขบขำจนตัวสั่น โมโหฟาธิสจับใจที่พูดถึงเรื่องบนเตียงไม่มีหยุด
“ฉันหนาว...ได้ยินไหม...คุณฟาธิส”
“ขอร้องเสียงหวานๆ สิ คานิม แล้วผมจะยอมทำตามที่คุณบัญชาทุกอย่าง”
ฟาธิสกระตุกยิ้ม ยื่นใบหน้าคมเข้มเข้าไปใกล้ๆ ใบหน้างามแดงก่ำ จนริมฝีปากร้อนรุ่มสัมผัสบางเบากับเรียวปากอิ่มซึ่งเขารับรู้แล้วว่าหวานฉ่ำมากเพียงใด
พันธิสาทำปากขมุบขมิบเอ่ยเจริญพรฟาธิสอีกรอบ ไม่อยากเอ่ยขอร้องคนที่กำลังยิ้มกริ่มให้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะนอกจากจะหนาวเหน็บเข้ากระดูกแล้ว ยังรู้สึกปวดข้อเท้าตุบๆ จนไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้
“คุณฟาธิส...ขา...ได้โปรดช่วยพยุงฉันลุกขึ้นหน่อยนะคะ พรีสสส...(Please)”
พันธิสาลากเสียงเอ่ยขอร้องเสียงยานเป็นการประชดประชัน แต่กลับทำให้ฟาธิสหัวเราะร่วนได้ทุกนาที
“อืม...แบบนี้ค่อยน่าช่วยเหลือหน่อย”
ฟาธิสเห็นว่าพันธิสาเริ่มปากสั่น ห่อตัวเข้าหากันเพราะอากาศหนาวก็เลิกแกล้งหญิงสาว แต่ก่อนจะทำตามคำร้องขอของพันธิสา ก็ไม่ลืมหาความสำราญให้กับตัวเองด้วยการกดจุมพิตหนักๆ ลงไปบนเรียวปากอิ่มอย่างรวด
เร็วเกินกว่าหญิงสาวจะห้ามไว้ได้ทัน
“คุณฟาธิส...”
พันธิสาไม่มีโอกาสด่าฟาธิสต่อ เมื่อเรียวปากอิ่มถูกปิดผนึกด้วยริมฝีปากร้อนรุ่มที่ส่งลิ้นร้อนๆ ชอนไชเข้ามาตักตวงควานหาความหวานฉ่ำจากโพรงปากของเธออย่างแสนช่ำชอง