บท
ตั้งค่า

ตอนที่7 ตามแผน2

ทุกถ้อยวาจาของเฉินเจียหมิงยิ่งนานยิ่งร้ายกาจ เขาหันไปดึงหลัวลี่ลี่เข้ามากอด แสดงออกถึงความรัก ประกาศชัดให้คู่หมั้นสาวรู้สึกตัวว่ากำลังจะเสียเขาไป

ทว่าไป๋เว่ยซินเพียงมองเขาด้วยแววตาว่างเปล่า

เฉินเจียหมิงแทบกระอักโลหิต

“ได้...เจ้ากล้าหยามข้าขนาดนี้ ข้าจะถอนหมั้นเจ้า แล้วแต่งกับน้องลี่ทันที!”

จบคำก็จูงมือหลัวลี่ลี่ออกจากห้องไปอย่างไม่ไยดี ราวกับสะบั้นเยื่อใยทั้งหมดที่มีกับไป๋เว่ยซินทิ้งไป

หลัวลี่ลี่อยากจะหันมายิ้มเย้ยก็ยังยิ้มไม่ทัน

ชายหญิงคู่หนึ่งจึงทำการก่อตัวเข้ามาหมุนทำลายแล้วจากไปดั่งวายุคลั่งเช่นนั้นแล เมื่อทั้งคู่โอบกอดกันจากไป รอบด้านพลันได้รับความเงียบสงบกลับคืนมาอีกครั้ง

การถอนหมั้นเป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นด้วยประการฉะนี้ โดยที่ในห้องไม่มีใครต้องพูดสักคำ ไม่ต้องถีบใครตกน้ำ ไม่ต้องทำตัวหยาบกระด้างให้ต้องเหน็ดเหนื่อย ไป๋เว่ยซินคิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้จะเสียแรงเปล่าขนาดนั้น เสียเวลาโดยแท้

หญิงสาวยังคงเงียบงัน เจ้าของห้องก็เช่นกัน

หลังผ่านพ้นภาวะกระอักกระอ่วน ไป๋เว่ยซินรีบเอ่ยขออภัยเจ้าของห้องหลายประโยค

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย เริ่มเข้าใจในเรื่องราวได้ไม่ยาก “คนผู้นั้นไม่คู่ควรกับเจ้า”

ไป๋เว่ยซินหลุบตา นึกละอายใจนัก

“ท่านต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรถ่อยก็เพราะข้า”

หญิงสาวยิ้มแห้ง ไม่รู้จะขอโทษอย่างไรให้สาสมกับคำด่าทอของเฉินเจียหมิงโดยมีนางเป็นต้นเหตุ

เดิมทีหากเฉินเจียหมิงยอมรับตามตรงว่ามีสัมพันธ์กับหญิงอื่นแบบลูกผู้ชาย เรื่องถอนหมั้นคงไม่วุ่นวายจนเดือดร้อนผู้อื่นเช่นนี้

อิสระที่ได้มานี้ทำไป๋เว่ยซินรู้สึกผิดจริงๆ

“แล้วข้าไม่เหมือนโจรถ่อยตรงไหน?”

บุรุษเอ่ยนิ่งๆ พลางลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาสวม ท่าทางยังคงสุขุมเยือกเย็น แต่ละก้าวที่เดินมั่นคงท่าทีนิ่งขรึม แลดูสง่างามนุ่มลึกเกินหยั่ง

ทั้งสายตาและกิริยาสงบเยือกเย็นนี้ ทำให้คนรู้สึกหวั่นเกรงอย่างอธิบายมิได้

ไป๋เว่ยซินเหลือบตามอง “ท่านอาจจะเหมือนอยู่บ้าง แต่ก็แค่ชั่วจังหวะที่มองเพียงผิวเผิน พอมองอย่างละเอียด ข้ามั่นใจว่าท่านไม่ใช่แน่นอน”

ใบหน้าเย็นชาของบุรุษปรากฏรอยยิ้มจางๆ “หากข้าบอกว่าสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ลังเล ทั้งตัวและฝ่ามือของข้าล้วนอาบไล้ด้วยโลหิตมนุษย์นับหมื่น เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

หญิงสาวชะงัก ก่อนพยักหน้าหงึกๆ อึกอักเสียงสั่น “อย่าบอกนะว่าท่านมิใช่แค่โจรกระจอก แต่เป็นโจรที่ฆ่าคนจนไม่มีเวลาโกนหนวด” นางส่ายหน้าหวือ “ข้าไม่เชื่อหรอก ที่นี่แคว้นจ้าว อีกทั้งยังเป็นเมืองหลวงเชียวนะ ความสงบสุขของแว่นแคว้นอยู่ในกำมือของชินอ๋อง ปกครองโดยจักรพรรดิผู้เที่ยงธรรม ไม่มีทางที่จอมโจรคนใดจะสามารถย่างกรายเข้ามาอย่างอุกอาจแน่ ข้ารู้ ข้าศึกษามาเจ้าค่ะ”

วาจานางทำคนเคร่งขรึมมิใคร่หัวเราะนึกขบขันแล้ว

เขาฆ่าคนจนไม่มีเวลาโกนหนวดจริงๆ

“เจ้าพูดได้ดี” เขาชมเสียงเรียบ

ไป๋เว่ยซินยิ้มหวาน ยิ่งมั่นใจว่าเขาไม่ใช่โจรแน่นอน

หญิงสาวนึกขึ้นได้ถึงมารยาทที่พึงมีนางจึงลุกขึ้น ประสานมือย่อกาย “คุยกันหลายประโยคสมควรแนะนำตัว ข้าน้อยไป๋เว่ยซิน ผู้มีพระคุณมีนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ?”

คำถามนี้ทำองครักษ์เงาในมุมมืดแทบทำดาบหลุดมือ แรกเริ่มผู้เป็นนายยอมเปิดประตูให้นางเข้ามา จากนั้นยังให้ทำแผลบนวรกายล้ำค่า ยอมนั่งนิ่งเฉยเมยให้ผู้อื่นด่าทอ เวลานี้ยังปล่อยให้อีกฝ่ายถามพระนาม

คนทั้งแคว้นรู้จักเพียงยศฐาที่ถูกเรียกขาน นามจริงแม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ระดับสูงยังไม่ค่อยรู้และไม่กล้าเอ่ยถึง

สตรีผู้นี้ขวัญกล้าเทียมฟ้าโดยแท้...

ตรงมุมมืด องครักษ์เงากำลังนึกตำหนิอย่างกังขา หากแต่ผู้เป็นนายของเขากลับตอบพระนามสูงค่าเสียงทุ้มนุ่ม

“ข้า ซือหง เรียกพี่หงก็ได้”

พ่ะ พี่หง องครักษ์เงาแทบเป็นลม ไม่อยากจะเชื่อ!

“เจ้าค่ะ พี่หง” ไป๋เว่ยซินยิ้มหวานเรียกขานเสียงใส นางย่อมไม่เข้าใจความนัย เพียงยอบกายให้เขาอีกครั้ง

“ข้ารบกวนพี่หงนานแล้ว ต้องขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

ชายร่างใหญ่พยักหน้าเนิบช้า “อืม...”

ไป๋เว่ยซินคลี่ยิ้มอ่อนหวานแผ่ลามไปถึงดวงตาคู่งาม ย่อกายขอบคุณอีกครั้งแล้วหมุนตัวจากไปอย่างมีมารยาท ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มที่สลักลึกลงในหัวใจ นางยังคงไม่รู้ตัวว่าดวงตาของนางหยาดเยิ้มยิ่งกว่ารอยยิ้มมากมายเท่าใด ทำเอาบุรุษเจ้าของห้องต้องมองตามอย่างไม่วางตา

กระทั่งร่างของนางหายลับจากห้องไปแล้ว เขาก็ยังยืนมองอยู่อย่างนั้น ภายในห้องเงียบงันอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่ร่างใหญ่จะเรียกองครักษ์เงาผู้หนึ่งออกมา

คนชุดดำประสานหมัดคุกเข่าหนึ่งข้างพร้อมรับคำสั่ง

“ไปสืบเรื่องของนางกับคู่หมั้นผู้นั้นทั้งหมด หาวิธีทำลายงานหมั้นเสีย”

“พ่ะย่ะค่ะ?” องครักษ์เบิกตาท่าทีอึกอักลังเล เขาเองก็พอจะมองออกว่าคุณชายท่านนั้นยังไม่คิดตัดใจ วาจาตัดสัมพันธ์ไม่แน่ว่าเป็นแค่คำขู่ อีกฝ่ายมิได้จะถอนหมั้น

“เอ่อ...ชินอ๋อง พระองค์คงมิใช่กำลังคิดจะแย่งชิงคู่หมั้นผู้อื่นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เพราะติดตามองค์เหนือหัวมาตั้งแต่เยาว์วัย เติบโตเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน หยางมู่จึงกล้าถามเช่นนั้น

จ้าวซือหงไม่ตอบทว่าแววตากลับบอกว่า‘ใช่’ชัดเจน

ชาติก่อนเขาฉุดคร่านางจากขบวนมงคล แย่งชิงเจ้าสาวจากจักรพรรดิเว่ยด้วยซ้ำ ชาตินี้แค่แย่งชิงคู่หมั้นจากคุณชายผู้หนึ่งจะเป็นไรไป บุรุษท่าทางโลเลหลายใจแบบนั้น ต่อให้มาเจอนางหลังแต่งงานแล้ว เขาก็จะทวงคืนให้จงได้

แน่นอนว่าความต้องการของผู้เป็นนาย บ่าวมิอาจโต้แย้ง หยางมู่จึงประสานหมัดรับคำ จากไปอย่างรวดเร็ว

ความเงียบสงัดปกคลุมห้องกว้างอีกครา เมื่อเขาอยู่คนเดียว จ้าวซือหงจึงหยิบกล่องไม้สลักมวลเมฆออกมา เปิดฝาออก หินทับทิมกำลังทอแสงทองเรืองรองบ่งบอกถึงจิตวิญณาณที่ตนตามหา วัตถุประหลาดสื่อวิญญาณก้อนนี้เปล่งประกายตั้งแต่ไป๋เว่ยซินกระโดดข้ามระเบียงมา

และยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้าเมื่อไป๋เว่ยซินเข้าใกล้เขา

จ้าวซือหงหลับตา เพียรกระงับฝ่ามือสั่นเทาของตน ชาติที่แล้วก่อนตายในวัยชรา ภรรยาร่วมผูกผมยังคงวนเวียนไม่ห่างหาย นางใช้พลังจากจิตวิญญาณทั้งหมดเพื่อเขา กระทั่งตัวเขาได้เกิดใหม่และนางก็กลับมา

แม้อยู่คนละภพคนละห้วงมิติแต่พลังเร้นลับกลับนำพาดวงจิตตามติดห้วงคนึงเหนือกาลเวลา

ทว่านางทำได้แค่กลับมา พลังที่หลงเหลือของนาง ไม่มากพอที่จะจดจำเรื่องราวในอดีตชาติระหว่างเรา

จ้าวซือหงรู้ดีว่าไม่ควรรีบร้อนดึงดันรวบรัดตัวนางหรือทำตัวใจเร็วด่วนได้ให้กระต่ายน้อยตื่นกลัว

ชาตินี้เขาควรเกี้ยวพาภรรยาอย่างไรดี...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel