บทที่ 3 ฝนเป็นใจ
เฟิ่งหวงนั่งลงที่ข้างกายของนางและเข้ามาโอบกอดนางไว้เพื่อคลายหนาวใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือ เสียงฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา
“อื้อออ” เฟิ่งจูบนางอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีให้นาง มือหนาเริ่มเลื้อยไปมาเหมือนงู
“ข้า ข้า...”
“เจ้ายอมเป็นของข้าได้หรือไม่เหม่ยเหม่ย”
เฟิ่งหวงสบตาของนางอย่างลึกซึ้งหากนางไม่ยินยอมเขาก็จะไม่ทำอะไรนางเด็ดขาด
“ขะ ข้ายอม...อื้ออ”
พูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มจึงประคองในนางนอนลงบนขอนไม้ขนาดใหญ่เฟิ่งหวงยืนมือไปคว้าเอาเสื้อของตัวเองมาปูไว้เพื่อหญิงสาวได้นอนอย่างสบาย
“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เฟิ่งหวงยื่นมือมาปลดเชือกที่ชุดของนางออกในล้วงมือเข้าไปจนถึงยอดปทุมถันอันแสนงดงามที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก
“อื้อ..อ่าส์...เฟิ่งหวง” นางครางออกมาเมื่อปลายลิ้นอุ่นๆ แตะสัมผัสกับยอดปทุมถันสีสวย ไป๋หลานสั่นสะท้านไปทั่วร่างกายกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา
“เจ้าสวยเหลือเกิน” เฟิ่งหวงพูดอย่างมาหลังที่ที่ได้สัมผัสยอดปทุมถันคู่นั้น
“อ๊ะ อ่าส์” ไป๋หลานเกาะคำคอของเขาไว้แน่นและแอ่นอกรับสัมผัสของเฟิ่งหวงชีวิตหนึ่งนางจะมอบกายให้คนที่รักเท่านั้น
“ข้าชักอยากจะชิมอย่างอื่นแล้ว”
“เจ้าจะอำอันใด อ๊ะ เฟิ่งหวง” ชายหนุ่มแทรกใบหน้าเข้าไประหว่างเรียวขาคู่งามและแหวกสิ่งปกปิดของสวยงามออกจนเจอเข้ากับผิวเนื้อสีหวานเป็นครั้งแรกที่เฟิ่งหวงได้เห็น
“ข้าจะชิมมัน” พูดจบจึงใช้ลิ้นค่อยๆ สัมผัสกับผิวเนื้อเพื่อกระตุ้นให้นางปล่อยน้ำหวานออกมาให้เขาได้ลิ้มลองลิ้นหนาลากไปทั่วบริเวณจนทำให้นางยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยและใช้มือดึงทึ่งกลุ่มผมของเขาเพื่อระบายความเสียวซ่าน
กลิ่นกายของนางช่างหอมหวานจนทำให้เฟิ่งหวงละห่างจากตัวนางไม่ได้ลิ้นหนายังคงหยอกล้อกับผิวเนื้อและขึ้นมาดูดเลียกับปุ่มเสียวยามที่ปากหนาครอบครองทำให้นางครางออกมา เมื่อเห็นว่าเสียงตัวเองน่าอายจึงใช้มือปิดปากไว้แน่น
“เอามือออกข้าอยากฟังเสียงของเจ้า”
“อ่าส์ อืม ขะข้ารู้สึกทรมาน” ยามที่ชายหนุ่มเร่งจังหวะลิ้นนางยิ่งเกร็งเมื่อใกล้จะถึงจุดเสียวนางยิ่งยกสะโพกให้เขาได้สัมผัสอย่างสะดวก ร่างบางเกร็งตัวและปลดปล่อยน้ำหวานออกมาเฟิ่งหวงปาดเลียจนสะอาด
“ข้าชอบน้ำของเจ้าที่สุด” เฟิ่งหวงขึ้นคร่อมร่างของนางและจุมพิตอย่างอ่อนโยนเพื่อไม่ให้นางเป็นกังวลเพราะยามที่เขาลงลิ้นตัวนางสั่นสะท้านไปหมด
“อื้อออ เฟิ่งหวง”
“ข้ารักเจ้า”
ไป๋หลานมองไปที่แท่งหยกที่แข็งขืนมันทั้งใหญ่ทั้งยาวไม่รู้ว่าร่างกายของนางจะรับไหวหรือไม่ หรือบางทีอาจจะเข้ามาในตัวของนางไม่ได้ด้วยซ้ำไป
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย อ่าส์”
เฟิ่งหวงจับแท่งหยกถูไถที่กลีบร่องเพื่อให้หญิงสาวไม่เกร็งตัวและอาศัยทีเผลอกระแทกเข้าไปจนมิดด้ามและกดแช่เอาไว้
กึด!
“กรี้ดดดด ข้าเจ็บ” น้ำตาไหลออกมาจากหางตาของนางอย่างน่าสงสารเยื่อพรหมจรรย์สีแดงไหลออกมาเปรอะเปี้อนกับแท่งหยกของเขา นางเจ็บราวกับร่างกายจะปริแตก
“ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บแต่เจ้าอย่าดิ้นเลยข้าก็ทรมานไม่แพ้เจ้า”
แรงตอดรัดแท่งหยกทำให้เฟิ่งหวงทรมานเช่นเดียวกับนางใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดยิ่งนางดิ้นเขาก็ยิ่งเจ็บเมื่อเห็นว่าไป๋หลานเริ่มปรับตัวได้เขาจึงขยับเอวสอบ
“เจ้าบอกข้า เจ้าเป็นของใคร”
“ข้าเป็นของเจ้า อื้อออ”
“เจ้าเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว หากเจ้าทิ้งข้าไปข้าก็จะลากตัวกลับมา” เฟิ่งหวงกระแทกแท่งหยกเข้าออกจนเหงื่อไหลออกมาตามไรผมเสียงครางของทั้งดังแข่งกับเสียงฝนที่ตกไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเปลวไฟที่ว่าร้อนก็ยังไม่เท่าเฟิ่งหวงในเวลานี้
“ข้าเจ็บ อื้อ” นางครางออกมาและรู้สึกเหนื่อยแต่เฟิ่งหวงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดชายหนุ่มยิ่งกระแทกกายหนาเข้ามาเรียวขางามเกาะเกี่ยวสะโพกของเฟิ่งหวงไว้แน่นแสงจากเปลวไฟทำให้ทั้งสองมองเห็นใบหน้ากันได้ชัดเจนจนนางรู้สึกเขินอาย
“ไม่ต้องอายอะไรแล้วข้าเห็นมาหมดแล้ว”
“ข้า ข้ารู้เหมือนอะไรก็ไม่รู้”
“ปล่อยตัวให้สบายและเสร็จสมไปพร้อมข้า” เฟิ่งหวงรีบเร่งขยับสะโพกเพื่อที่จะส่งนางขึ้นสวรรค์ กลิ่นกายของนางทำให้เขายากตลอดเวลา
“อร้าย / โอ้ว” เฟิ่งหวงปลดปล่อยสายธารเข้าไปในตัวของไป๋หลานเมื่อถอนแท่งหยกออกมาสายธารก็ไหลย้อนกลับจนล้นออกมาด้านนอก ชายหนุ่มมองผลงานตัวเองอย่างพึ่งพอใจและหยิบเสื้อของเขาขึ้นมาเช็ดให้
“เจ้าขยับออกไป”
“ไม่ต้องอายข้าเห็นหมอแล้ว”
“เจ้าจะทำอะไร”
“ข้ายังไม่อิ่ม” เฟิ่งหวงเริ่มใช้ปากดูดเลียที่ซอกคอขาวเนียนอย่างหิวกระหายตอนนี้เขานอนช้อนหลังของนางและจับเรียวขายกขึ้นข้างหนึ่งอ้าออกกว้างจนได้องศา
“ให้ข้าได้เข้าไปอีกครั้งเถิด” เฟิ่งหวงไม่รอช้าที่จะบอกรักนางอีกครั้งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามพายุรักจึงสงบลงไป๋หลานนอนกอดเอวเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเฟิ่งหวงจะหายไปไหน
“เจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มมองใบหน้าของนางแล้วไม่ลืมที่จะจุมพิตหน้าผากข้างนอกฝนเริ่มหยุดตกแล้วเหลือไว้เพียงอากาศเหน็บหนาวยามค่ำคืนจนนางห่อตัวเข้าหาไออุ่นจากเฟิ่งหวง
ยามเหม่าไป๋หลานรู้สึกตัวเพราะเสียงนกร้องนางจึงลุกออกมาดูบรรยากศภายนอกถ้ำ เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณไป๋หลานยังคงครุ่นคิดว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
“หากท่านพ่อตามหาข้าเจอ ข้าต้องกลับไปเข้าพิธีอภิเษกอยู่ดี หรือไม่ก็ตามหาข้าไม่เจออีกเลย”
เพราะเป็นธิดาองค์เดียวของฮ่องเต้แคว้นเป่ยเฟิงการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างของแคว้นนางจึงต้องรับภาระหน้าที่ไป แต่คิดว่าถึงเวลาต้องจากเขาไปไยนางถึงรู้สึกเจ็บปวดนัก
เฟิ่งหวงใช้แขนคว้านหาตัวนางมากอดแต่ก็ต้องพบแค่ความว่างเปล่าทำให้เขาต้องดีดตัวขึ้นมาและมองไปรอบๆ ไม่มีนางอยู่แล้วความร้อนรนจึงรีบออกตามหานาง
“เหม่ยเหม่ย เจ้าอยู่ไหน” ชายหนุ่มเดินออกมาหน้าปากถ้ำก็เจอเข้ากับนางที่นั่งอยู่บนโขดหินใบหน้งอันแสนงดงามเหม่อลอยราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิด
“เหม่ยเหม่ย!”
“เจ้ามาตั้งอต่เมื่อไร ข้าตกใจหมด”
“ข้าเรียกเจ้าหลายครั้งแล้วเจ้ามีเรื่องอันใดให้คิดหนัก หากเป็นเรื่องเมื่อคืนข้ายินดีรับผิดชอบเจ้า” เฟิ่งหวงเกรงว่านางจะคิดมากเรื่องที่ผ่านมา
“ข้าแค่อยากจำเรื่องราวของตัวเองได้”
นางเลือกที่จะพูดปดหากวันนั้นมาถึงต่อให้เฟิ่งหวงเกลียดนาง นางก็พอจะเข้าใจชีวิตของนางไม่มีทางเลือกมากนัก
“หากเจ้าจำได้เจ้าจะไปจากข้าหรือ ข้าไม่ยอม” ชายหนุ่มเดินเข้ามากอดนางไว้แน่นต่อให้พลิกแผ่นดินหานางเขาก็จะทำและจะไม่มีอะไรพรากนางไปจากเขาได้
“ข้าจะไปจากเจ้าได้อย่างไร เรากลับกันเถอะข้าเริ่มหิวแล้ว”
“เจ้าขึ้นหลังข้ามา” เฟิ่งหวงแบกนางขึ้นหลังและเดินลงจากเขากว่าจะถึงหมูบ้านก็เกือบถึงยามเฉินเฟิ่งหวงมาส่งนางที่กระโจมก่อนที่จะกลับกระโจมของตัวเอง
“มาได้เสียทีเจ้าลูกคนนี้”
“ท่านแม่รอข้าหรือขอรับ”
“เจ้าหายไปทั้งคืนทำให้แม่เป็นห่วง”
“ฝนตกหนักข้าเลยกลับไม่ได้ขอรับ” เฟิ่งหวงจึงทำท่าทีว่าง่วงนอนและเดินไปล้มตัวลงบนเตียง
“หากเจ้าไปทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามมาแม่จะลงหวายที่หลังของเจ้า” เจ๋อหรานส่ายหน้านับวันลูกชายยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปใหญ่ นางเดินกลับที่กระโจมและหยิบสร้อยของไป๋หลานขึ้นมา
“หรือเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา” สร้อยที่สลักเพชรพลอยไว้อย่างสวยงามและลวดลายที่ปราณีตอาจเป็นของประจำตระกูลเจ๋อหรานจึงจะส่งคืนเจ้าของ
“ข้าเอาของมาคืน”
“ของอะไรหรือเจ้าคะ” ไป๋หลานมองไปที่สร้อยเส้นนั้นซึ่งเป็นสร้อยประจำตระกูลของนาง ทีแรกนางคิดว่าหายไปแล้วแต่โชคยังดีที่อยู่กับเจ๋อหราน
“นี่เป็นสร้อยอะไรไยถึงสวยงามนัก”
“ข้า ข้าจำยังไม่ได้เจ้าค่ะ” ไป๋หลานโกหกออกไปไม่รู้ว่าจะโกหกทุกคนได้นานแค่ไหน
“เจ้าคิดอะไรกับลูกชายของข้า”
“ข้า ข้า เอ่อ...” นางถึงกับพูดไม่ออกตอนนี้กำลังสับสนนางต้องเข้าพิธีอภิเษกแต่ก็ยังปล่อยตัวให้กับเฟิ่งหวง
“หวงเอ๋อร์โตมากับข้าแค่สองคน พ่อของเขาใจร้ายกับข้ามาก ข้าไม่อยากเห็นลูกต้องเจ็บปวดเพราะความรักเช่นเดียวกับข้า” สิ่งที่นางจะทำได้ก็คงได้แต่เตือนลูกชายเพราะไม่สามารถไปบังคับจิตใจของลูกได้
“ข้าชอบเฟิ่งหวง” ไป๋หลานพูดออกไปไม่ใช่เพราะกลัวว่าเจ๋อหรานจะต่อว่าแต่เพราะหัวใจของนางสั่งให้พูดแบบนั้น เฟิ่งหวงคือรักแรกและจะเป็นรักเดียวของนาง
“ชายหญิงอยู่ใกล้กันมากไม่ดี เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องกลับบ้าน ลูกข้าคงอยู่ไม่ได้เจ้าควรอยู่ให้ห่างจากหวงเอ๋อร์”
เจ๋อหรานกลัวว่านางผู้นี้จะทำให้ลูกของนางเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่นางเคยโดน
“สงสารข้าเสียเถิดข้ามีลูกคนเดียว”
“เจ้าค่ะ เมื่อถึงเวลาข้าจะกลับบ้าน” ไป๋หลานก้มหน้าและรับปากเจ๋อหราน
“ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด” เจ๋อหรานอยากให้นางกลับบ้านกลัวว่าลูกชายจะถลำลึกไปมากกว่านี้ นางผู้นี้ต้องเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์
“เจ้าเอายานี้ไปกิน”
“ยาอะไรหรือเจ้าค่ะ”
“ยาคุมกำเนิด” ไป๋หลานมองไปที่ถ้วยยาและยกขึ้นดื่มจนหมดหากมีลูกเกิดมาอีกเกรงว่าทุกอย่างจะยุ่งยากไปมากกว่านี้ นางได้แต่โทษโชคชะตาหากเลือกได้นางขอเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ต้องมียศบรรดาสูงศักดิ์ที่แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์ได้เลือก
“ข้าขอโทษ”
นางได้แต่ขอโทษชาย
อันเป็นที่รักไม่รู้ว่าจะได้อยู่ใกล้กับเฟิ่งหวงได้อีกนานแค่ไหน