บทที่ 1 ดอกเหมย
ไป๋หลานลืมตาขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดศีรษะอย่างรุนแรงนางยังไม่ตายอย่างนั้นหรือเพราะรอบกายมีกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงสัตว์ที่ร้องออกมา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เจ๋อหรานเดินถือยาสมุนไพรเข้ามาพร้อมกับมองไปที่นางผู้นั้น
“ทะ ท่านช่วยข้าไว้หรือข้าเป็นอะไรไป” ไป๋หลานกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร
“เจ้าหลับไป 3 วัน เจ้าตอบข้ามาก่อนเจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อ ปะ...” ชื่อที่กำลังจะหลุดออกจากปากของนางต้องหุบลงเพราะหากบอกชื่อไปเกรงว่านางจะได้รับอันตรายอีกต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงไว้จนกว่าท่านพ่อจะตามหานางเจอ
“โอ๊ยยยย ข้าจำไม่ได้ข้าปวดหัวเหลือเกิน” ไป๋หลานแกล้งทำว่าปวดหัวหนักและจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครจากการที่หัวกระแทกกับโขดหิน
“ท่านแม่...” เฟิ่งหวงเปิดประตูเข้าถึงกับมองนางไม่กะพริบแม้ว่าบนศีรษะจะมีผ้าพันแผลแต่ใบหน้าที่แสนงดงามกลับฉายชัดออกมาจนหัวใจที่หยาบกระด้างของเฟิ่งหวงเต้นแรงขึ้นมา
“หวงเอ๋อร์ หวงเอ๋อร์!” เจ๋อหรานที่เรียกลูกชายเสียงดังเพราะมัวแต่จ้องใบหน้าของนางตาไม่กะพริบ
“ขะ ขอรับท่านแม่”“นางจำอะไรไม่ได้ช่วงนี้เจ้าก็ดูแลนางไป นางจำอะไรได้เมื่อไรก็ส่งนางกลับบ้านเมืองไป” เจ๋อหรานให้ไป๋หลานดื่มยาให้ครบตามที่นางสั่ง
วันเวลาร่วงเลยไปถึง 7 วัน อาการของไป๋หลานก็ดีขึ้นตามลำดับและแกล้งความคำเสื่อมเช่นเดิม วันนี้วันแรกที่นางได้ออกมาดูหมู่บ้านซึ่งรายล้อมมีแต่สัตว์เลี้ยงและกระโจมของชาวบ้านที่เต็มไปด้วยภูเขาและเสียงน้ำไหล
“พี่สาวท่านหาอะไรหรือ” อาเจิงเห็นนางเดินออกมาจึงรีบเข้ามาถามไถ่
“แถวนี้มีแม่น้ำหรือไม่ข้าอยากไปล้างเนื้อล้างตัว”
“ท่านเดินตามทางนั้นไป” เด็กหนุ่มชี้ไปตามทางไป๋หลานไม่รอช้าที่จะเดินไปที่แม่น้ำชนเผ่าแห่งนี้นางเองก็ยังไม่รู้ว่าคือที่ใด เมื่อมาถึงจึงนั่งอยู่บนโขดหินอย่างเหม่อลอย
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้!” เฟิ่งหวงเห็นนางนั่งอยู่คนเดียวเขาเห็นตั้งแต่นางเดินเข้ามาแล้ว แต่อยากรู้ว่านางมาทำอะไร
“เจ้านั่นเอง เจ้าชื่ออะไรข้าจะได้เรียกถูก”
“เฟิ่งหวง” ชายหนุ่มตอบไปและจ้องมองหญิงสาวไม่วางตาแต่แววตาที่ว่างเปล่าทำให้เขาถอนหายใจเสียงดัง
“ข้าชื่อ...” ไป๋หลานไม่รู้ว่าจะให้เฟิ่งหวงเรียกว่าอะไรเพราะยังไม่คิดชื่อ
“เหม่ยเหม่ย เจ้าชื่อเหม่ยเหม่ย” เพราะนางนั้นสวยและอยู่ใกล้ทีไรความเหนื่อยล้าเหมือนจะหายไป เหมือนดอกเหมยที่ให้ความสดชื่นตลอดเวลา
“เพราะจัง” ไป๋หลานยิ้มออกมาจนเห็นฟันทำให้เฟิ่งหวงมองนางด้วยความหลงใหล นางเป็นผู้ใดกันทำไมถึงสวยราวกับองค์หญิงสวยจนเขาละสายตาจากนางไม่ได้
“เจ้าระวัง”
“ว้ายยยย” ไป๋หลานหลับตาลงเพราะกลัวว่าจะเจ็บตัวเพราะนางสะดุดกับก้อนหินก้อนโต แต่เหมือนมีมือแขนของเฟิ่งหวงมาคว้าเอวนางไว้ได้ทันไป๋หลายลืมตาขึ้นมาใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือใกล้จนไป๋หลานแทบจะหยุดหายใจ แต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่ยอมปล่อยนาง
“เจ้า เฟิ่งหวง! ปล่อยข้าได้แล้ว”
“ขออภัยเจ้าด้วย” เฟิ่งหวงเมื่อได้สติจึงรีบปล่อยมือออกจากเอวของนางและถอยออกมาห่างๆ จึงหันหลังให้นางเพื่อไม่ให้นางเห็นว่าเขากำลังหน้าแดงเพราะความเขินอาย
“ขอบใจเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ถึงสองครั้ง” ‘ข้าจะตอบแทนบุญคุณเจ้าเอง’ คำนี้ไป๋หลานพูดต่อในใจนางไม่อยากโกหกใครแต่เพื่อความปลอดภัยนางจำเป็นต้องโกหก
“ท่านแม่ข้าสอนเสมอหากพบใครที่ลำบากหากเราช่วยได้ก็ช่วย เจ้าจำเรื่องราวไม่ได้จริงหรือ” เฟิ่งหวงจ้องลึกเข้าไปในแววตานางและยังไม่มั่นใจว่านางโกหกหรือจำไม่ได้
“ขะ ข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่ออะไรกัน” ไป๋หลายหันหน้าหนีหากท่านพ่อตามหานางเจอเมื่อไรนางจะต้องไปจากที่นี่และจะไม่ลืมบุญคุณของชนเผ่านี้เลย
“ข้าเกลียดคนโกหกที่สุด หากเจ้าเป็นคนโกหกข้านี่แหละจะเลาะหนังเจ้าออกเอง”
เฟิ่งหวงเดินจากไปทิ้งให้นางรู้สึกไม่ดีที่ต้องโกหก ตอนนี้ขอแค่ชีวิตรอดกลับบ้านเมืองก็พอ
“เจ้าไปไหนมา” เจ๋อหรานถามลูกชายที่เดินเข้ามาในกระโจมด้วยใบหน้าที่หงุดหงิด
“ข้าก็ไปดูสัตว์ตามประสาข้าท่านแม่มีอะไรหรือขอรับ”
“เจ้าอายุ 21 แล้วเมื่อไรกันที่แม่จะมีหลาน” นางอยากให้ลูกชายออกเรือนเพราะอายุปูนนี้แล้วและกลัวว่าจะไม่มีทายาทแต่ก็ไม่อยากบังคับลูก
“ท่านแม่พูดกับลูกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เอาไว้ลูกรักใครจะบอกท่านแม่คนแรกเลยดีไหมขอรับ” เฟิ่งหวงพูดคำนี้มาหลายครั้งแล้วจนเจ๋อหรานอ่อนใจ
“แล้วแม่นางคนนั้นละเจ้าว่านางเป็นอย่างไร”
“นางชื่อเหม่ยเหม่ย”
“เจ้ารู้ได้ยังไง”
เจ๋อหรานแปลกใจที่ลูกชายรู้ว่านางนั้นมีชื่อแช่อะไรหรือนางไม่ได้ความจำเสื่อม
“ข้าตั้งให้นางเอง ข้าไปก่อนนะท่านแม่” เฟิ่งหวงรีบเดินออกไปเพราะเห็นเหม่ยเหม่ยกำลังนั่งพูดคุยกับเด็กอย่างมีความสุขจนคนเป็นแม่ได้แต่ส่ายหน้า
“ทำอะไรกันหรือ”
“ซักผ้าอยู่” ไป๋หลานตอบออกไปเขาเห็นว่านางกำลังนั่งอยู่แปลกยิ่งนักยังมาถามให้มากความ
“นี่เจ้า!” เฟิ่งหวงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อโดนนางยอกย้อนและเห็นรอยยิ้มที่นางส่งยิ้มให้เด็กๆ แล้วเฟิ่งหวงก็รู้สึกยิ้มตาม
“ท่านยิ้มให้ลมหรือท่านพี่” อาเจิงมองตามในสิ่งที่เฟิ่งหวงมองจึงเข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังหัดมีความรัก
“เจ้ามาตั้งแต่ตอนไหน ข้าตกใจหมด” เฟิ่งหวงยังไม่สนใจอาเจิงเมื่อเห็นว่านางเดินไปตามเด็กๆ เฟิ่งหวงจึงรีบเดินตามไปไม่ห่างทิ้งให้อาเจิงอยู่คนเดียว
“เจ้าตามข้ามาหรือ” ไป๋หลานชักจะหงุดหงิดขึ้นมานางไม่ใช่นักโทษที่เขาจะตามติดจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเสียขนาดนี้
“ข้ามาตามดูว่าเจ้าเป็นสายให้ใครหรือไม่” เฟิ่งหวงหาเหตุผลมาอ้างทั้งที่อยากอยู่ใกล้นางมากกว่าสภาพนางฟื้นขึ้นมาได้ก็ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว
“ข้ายังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะไปเป็นสายให้ใครได้ เจ้านี่ดีแต่ปากจริงๆ” ไป๋หลานหัวเสียและต่อว่าเฟิ่งหวงนางเกือบตายเขายังหาว่านางอาจจะเป็นสายศึก
“นั่นเจ้าจะไปไหนมันทางเข้าป่า เหม่ยเหม่ย” เฟิ่งหวงเดินมาหยุดที่ตรงหน้าของนางและกางมือออกเพื่อไม่ให้นางเดินเข้าป่าเพราะในป่าใหญ่อันตรายมีมากมาย
“ท่านพี่เฟิ่งหวงซินอี้กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวรุ่นคราวเดียวกันกับไป๋หลานวิ่งเข้ามาหาเฟิ่งหวงด้วยท่าทางดีใจจนไม่ได้หันมามองไป๋หลาน
“นางเป็นใครกันข้าไม่เคยเห็น”
ไป๋หลานมองใบหน้าหญิงสาวจึงเข้าใจว่าคงตกหลุมรักเฟิ่งหวงและท่าทีที่ดูหวงไป๋หลานจึงอยากเดินออกไปให้ห่าง
“นางคือเหม่ยเหม่ย”
“…”
“เจ้าจะไปไหนข้ายังพูดไม่จบข้าคือซินอี้เป็นคนในชนเผ่าและเป็นว่าที่ภรรยาของท่านพี่เฟิ่งหวง” แต่ไป๋หลานไม่รอฟังจนจบจึงพูดสวนขึ้นมา
“ข้าเป็นใครเจ้าก็ถามเฟิ่งหวงเอาเอง” นางเดินจากไปทิ้งให้เฟิ่งหวงอยู่กับซินอี้ตามลำพัง
ยามโหย่วเจ๋อหรานเรียกเฟิ่งหวงและแม่นางเหม่ยเหม่ยมานั่งทานข้าวด้วยกันในยามนี้ยังมีอี้หรานและลูกสาวซินอี้ทั้งกระโจมจึงมีแต่ความเงียบ
“ท่านพี่ลองทานเห็ดดูเจ้าค่ะ” ซินอี้ใช้ตะเกียบคีบเห็ดให้เฟิ่งหวงแต่สายตาของเขามองไปที่ไป๋หลานเมื่อเห็นว่านางนั้นไม่ชอบกินผักเป็นมื้อแรกที่ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน
“เนื้อข้าตักให้” เฟิ่งหวงไม่ได้ใส่ใจซินอี้และตักเนื้อให้นางจนเต็มจานเจ๋อหรานคอยแอบมองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ซินอี้ไม่พอใจที่ไม่ได้รับความสนใจจากเฟิ่งหวง
“นางก็มีมือทำไมไม่ให้นางตักเองหัดทานผักเสียบ้าง”
“ซินอี้ เหม่ยเหม่ยนางบาดเจ็บอยู่” อี้หรานปรามลูกสาวที่เป็นคนชอบพูดไม่คิดจนทำให้อาหารมื้อนี้ดูกร่อยไปและบรรยากาศที่ชวนอึดอัด
“ข้าอิ่มแล้วชอบคุณท่านน้าทั้งสองมากเจ้าค่ะ” ไป๋หลานลุกออกไปโดยมีเฟิ่งหวงเดินตามออกไปโดยไม่สนใจเรียกของซินอี้
“นางเป็นใครเกิดนางเป็นไส้ศึกขึ้นมาชนเผ่าพวกเราจะแย่เอานะเจ้าค่ะท่านน้า” เจ๋อหรานวางตะเกียบลงท่าทางของเหม่ยเหม่ยก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแค่นางจะอะไรไม่ได้ก็ถือว่าแย่มากแล้ว
“นางบาดเจ็บจนจำอะไรไม่ได้ เราเป็นมนุษย์ก็ควรจะช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันชนเผ่าเราไม่เคยเป็นศัตรูกับใครเจ้าควรระวังคำพูดด้วย”
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะท่านน้า” ซินอี้หน้าเสียที่โดนตำหนิและแอบหยิกต้นขาตัวเองไว้แน่นเพราะกลัวจะลุกขึ้นมาอาละวาดใส่ผู้คนที่นับถือ
“ข้าขอโทษแทนนางด้วย”
“เจ้าไม่ผิดอะไรเลยอี้หราน”
เฟิ่งหวงเดินตามนางออกมาจนถึงแม่น้ำตอนนี้เป็นยามซวีซึ่งท้องฟ้านั้นมืดหมดแล้วเหลือให้เห็นแค่ดวงดาวที่ส่อแสงสว่างอยู่เต็มท้องฟ้า
“คืนนี้ดวงดาวเหลือเกิน”
“เจ้าตามข้ามาหรือ” ไป๋หลานมองไปที่ชายหนุ่มที่ทำท่าทีมองท้องฟ้า วันนี้ดวงดาวสวยแต่ก็ทำให้นางเศร้าหมองไม่น้อยรอคอยเวลาว่าเมื่อไรที่ท่านพ่อจะตามมาเจอ
“ข้ากลัวเจ้าจะหลงเลยตามมา” ยามนี้เฟิ่งหวงกลัวว่านางจะหิวจนโมโหจึงคิดจะหาอะไรให้นางกินก่อน
“เจ้าจะทำอะไร”
“เจ้าอยู่เงียบๆ เถอะน่า” เฟิ่งหวงลงไปในน้ำและปามืดเล่มเล็กลงไปในน้ำและรีบวิ่งลงไปจับปลาขึ้นมาทำให้ไป๋หลานแปลกใจที่เฟิ่งหวงเชี่ยวชาญขนาดนี้
“เจ้า”
“เดี๋ยวข้าจะทำอาหารให้เจ้ากิน” ไม่พูดเปล่าเขายังเดินมาก่อไฟข้างกายไป๋หลานและจัดการย่างปลากลิ่นหอมๆ ที่ลอยมาแตะจมูกทำให้ไป๋หลานรู้สึกหิวขึ้นมา
“เจ้ากินข้าวน้อยกินเยอะๆ สิ” เฟิ่งหวงยื่นปลากับให้นางตัวหนึ่งตั้งแต่เกิดมาจนโตเป็นหนุ่มเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนนางเป็นหญิงคนแรกที่เฟิ่งหวงอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างให้
“ขอบใจเจ้ามากเฟิ่งหวงที่ดีกับข้า” หากถึงวันนั้นวันที่เจ้ารู้ความจริงอย่าโกรธเคืองข้าเลย ไป๋หลานได้แต่รู้สึกผิดที่ต้องโกหกผู้มีพระคุณ
“…”
รอยยิ้มที่นางยิ้มออกมาทำให้เฟิ่งหวงตกอยู่ในอาการตะลึงจนไม่ได้ฟังในสิ่งที่นางพูด นางสวยกว่าหญิงที่เขาเคยพานพบตอนนี้เริ่มจะปักใจแล้วว่านางนั้นคือนางในดวงใจและอยากจะปกป้องนางไปตลอดชีวิต