ชะตาลิขิต
“ตื่นสินางใบ้ เอาแต่นอนอยู่ได้ วันนี้มีงานสำคัญ เจ้าจะต้องรีบไปช่วยทำอาหารในวัง”
เสี่ยวเจิ้งลุกพลวดจากแท่นนอนที่ทำจากไม้ไผ่
หญิงอ้วนร่างท้วมนามจงหลานหรือป้าจงตวาดดังลั่น
“เสี่ยวเจิ้งนี่ต้องเป็นเจ้าที่ต้องนำไป”
ยกหลัวใส่บนแผ่นหลังเล็ก แล้วยัดทุกอย่างเท่าที่จะยัดได้ลงไป
“อือ อือ”
อยากจะบอกว่าหนักแต่เปล่งเสียงได้เพียงเท่านั้น
“อย่าโวยวาย”
ป้าจงดุ เสี่ยวเจิ้งได้เพียงก้มหน้ามองพื้น
จงหลินรีบแบ่งของบนหลัวของเสี่ยวเจิ้งมาไว้บนหลัวของตัวเองบ้าง
“ท่านแม่ ใจร้ายกับเสี่ยวเจิ้งจริงๆ เฮ้อเสี่ยวเจิ้งถ้าเจ้า.. ไม่เป็นใบ้คงจะดีกว่านี้ ใบหน้าเจ้าก็หาได้ขี้ริ้วไม่ ไป๊ไปกันเถิด”
จูงมือเสี่ยวเจิ้งที่รักเหมือนน้องสาว
เสี่ยวเจิ้งยิ้มโบกมือให้จงหลินเห็นว่าไม่เป็นไร เดินตามทางไปพร้อมกันเพื่อเข้าสู่วังหลวง
“ฮ่องเต้เสด็จจจจ ฮองเฮาเสด็จจจจจ”
ร่างสูงเกินบุรุษอื่นที่เด่นสง่ามองเห็นในระยะไกล เสี่ยวเจิ้งยืนนิ่ง
นี่หรือคือฮ่องเต้ ที่ได้ยินคนเล่าขานว่าเป็นฮ่องเต้รูปงามที่สุดในเจ็ดคราบสมุทร
จงหลินกระตุกแขนเสื้อกลัวว่าเสี่ยวเจิ้งจะไม่ได้ยินคำขานของขันที ดึงร่างเล็กกว่าของเสี่ยวเจิ้งหลบเข้าข้างทาง กดศรีษะให้ก้มจนไม่เห็นใบหน้าขะมุกขะมอม
“ หลีกทางขบวนเสด็จกำลังจะผ่าน”
เสียงองครักษ์ไม่พูดเปล่าใช้ทวนในมือกวาดต้อนร่างของเหล่านางในห้องเครื่องให้หลบออกจากทางเดิน
“โอ้ย”
จงหลินเจ็บจนเผลอร้องออกมา เสี่ยวเจิ้งพยุงจงหลินให้ลุกขึ้น
“เร็วเข้าชักช้าอยู่ได้ ขบวนเสด็จถึงแล้ว”
กระชากร่างเล็กของ เสี่ยวเจิ้งให้หลบไป
“ปล่อยนาง พวกเจ้าเห็นหรือไม่ทำให้นางเจ็บ”
เสียงอ่อนโยนของฮองเฮาหมิงเยว่ เอ่ยปากกับองครักษ์ดังประกาศิต เสี่ยวเจิ้งจ้องมองใบหน้างดงามราวเทพีสวรรค์เลยผ่านไปยังร่างสูงที่พยุงหมิงเยว่ไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม โลกทั้งใบเหมือนจะหยุดหมุนในทันที
จงหลิน ดึงชายเสื้อเสี่ยวเจิ้งให้คุกเข่าลงบนพื้น
“ฮองเฮา ให้องครักษ์ไล่พวกนางไปไกลๆ อาภรณ์ของเจ้าในงานพิธีจะเปรอะเปื้อนเพราะพวกนาง”
เสียงทุ้มอ่อนโยนยิ่งนัก
“ฝ่าบาท ห่วงใยยิ่งแล้วหมิงเยว่เห็นว่าทั้งสองนางเป็นเพียงหญิงธรรมดา หากกระทำรุนแรงพวกนางจะบาดเจ็บเอาได้”
อู่อินเฉิงยิ้มอ่อนโยน แต่ยิ้มนั้นส่งให้กับหมิงเยว่คนเดียว
“เจ้าใส่ใจไปทุกคนแต่ดูรึเจ้าเองกับร่างกายอ่อนแอ ชีวิตพวกนางมีค่าใดกันหากเปรียบกับเจ้าแม้เจ้าบาดเจ็บแค่เพียงปลายก้อยข้าก็คง จะเจ็บซ้ำใจ”
“ไปไปไป”
องครักษ์ผลักร่างเสี่ยวเจิ้งกับจงหลินจนหงายหลังเมื่อได้ยินอู๋อินเฉิงพูดแบบนั้น
ดวงตาคมของอู่อินเฉิงเผลอจ้องมองใบหน้าขมุกขะมอมของเสี่ยวเจิ้งที่ล้มกลิ้งข้าวของหกหระจาย สบตาเศร้าสร้อยนั้นอย่างพลั้งเผลอ ก่อนจะเบือนหน้าหนีเสียจากสายตานั้น
“ไล่พวกนางไปไกลๆ”
เอ่ยปากสำทับ พยุงหมิงเยว่จากไปยังลานพิธี
เสี่ยวเจิ้งกับจงหลินช่วยกันเก็บข้าวของใส่ในหลัวด้านหลังให้กันและกัน
“ไม่เห็นจะต้องไล่พวกเราเลย เราเองก็ไม่ได้อยากจะขวางขบวนเสด็จ ดูสิข้าวของเปื้อนดินเปื้อนทรายหมดแล้ว”
เสี่ยวเจิ้งยิ้มเศร้าๆ
“เจ้าก็เอาแต่ยิ้มมองคนอื่นในแง่ดีตลอด เห็นหรือไม่ว่าชีวิตพวกเรายังไม่มีค่าเพียงการบาดเจ็บเท่าปลายก้อยของฮองเฮา”
เสี่ยวเจิ้งยกมืออุดปากจงหลินก่อนจะส่ายหน้าไปมาห้ามไม่ให้พูด
จงหลินถอนหายใจ
“เจ้า ใจดีแบบบนี้คนอื่นจึงเอาเปรียบเจ้า เสี่ยวเจิ้งจริงๆนะถ้าหากว่าเจ้าได้สวมอาภรณ์สีสวย ลบรอบเปื้อนขะมุกขะมอมบนใบหน้าของเจ้าออกเสียหน่อย เกรงว่า เจ้าต้องกลายเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งเลยทีเดียว”
เสี่ยวเจิ้งส่ายหน้ายิ้มๆเหมือนจะบอกว่ามันคือเรื่องเพ้อฝัน ส่งภาษามือให้จงหลินรีบไปยังห้องเครื่องช่วยนางในห้องเครื่องทำเครื่องเสวยให้ทันเวลาที่กำลังจะมีงานเลี้ยงรื่นเริงของวังหลวง
จงหลิน ยอมเดินตามเสี่ยวเจิ้งไปโดยดี