บทที่ 8 ความจริงของผู้เป็นแม่ (1)
หลายวันต่อมา
กาสิโนในมาเก๊า
"นายครับเอกสารพวกนี้เป็นรายงานรายได้ของเราประจำปีนี้ครับ" เซนวางเอกสารที่ได้รับจากผู้จัดการกาสิโนเอามาวางบนโต๊ะเพื่อให้เจ้านายตรวจสอบรายละเอียดยอดรายได้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นคินทร์หยิบเอกสารขึ้นมาพินิจพิจารณาด้วยท่าทางพึงพอใจ มือหนาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบตามด้วยกระดกวิสกี้ที่ลูกน้องคนสนิทรินให้เข้าปาก
"ถือว่าทำงานดี" นคินทร์พูดด้วยใบหน้านิ่งกล่าวก่อนจะพยักหน้าให้เซนโดยที่เซนเองก็รู้งาน เขาจัดการรินวิสกี้อีกแก้วแล้วยื่นให้กับผู้จัดการอาวุโสที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
"ขอบคุณสำหรับการทำงานอย่างหนักนะครับคุณหวงลู่" นคินทร์ยกแก้วสีอำพันชูขึ้นก่อนจะกระดกรวดเดียวทำให้ผู้จัดการหวงลู่ต้องยกแก้วกระดกตามเช่นเดียวกัน
"ขอบคุณครับนาย" หวงลู่ตอบพร้อมกับโค้งคำนับรอยยิ้มที่ส่งมาด้วยความสุขุมปิดบังความกระวนกระวายที่อยู่ในใจ
"ออกไปได้"
"ครับนาย" หวงลู่หันหลังกลับทันทีก่อนจะถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกขณะที่ประตูปิดลงตามหลังแต่ยังไม่ทันที่จะเดินออกไปก็พบกับคนที่ไม่คาดคิด หวงลู่ยืนก้มหน้าหลบสายตาคนที่กำลังเดินผ่านไปก่อนจะหันหลังกลับไปมองแต่สายตาเหี้ยมเกรียมที่ส่งกลับมาทำเอาหวงลู่รีบเดินเลี่ยงออกไปอีกทางด้วยความกลัวอะไรบางอย่าง
ก๊อก ก๊อก
แอด
นิรันดร์ยื่นหน้าเข้ามาก่อนจะพูดขออนุญาตหลานชาย "คินทร์ครับขออาเข้าไปได้มั้ย" นคินทร์ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการตรวจสอบดูเอกสารรายได้อีกครั้งหลังจากผู้จัดการเดินออกไปก็เงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาใหม่แล้วส่งยิ้มกลับไป
"เข้ามาสิครับ" ผู้มาใหม่สองคนก้าวมาในห้องก่อนจะมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงาน
"อากับน้องไม่ได้เข้ามารบกวนคินทร์ใช่ไหมครับเครียดอยู่หรือเปล่า" นิรันดร์ถามด้วยความเกรงใจเพราะเห็นเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะนั้นเยอะเสียจนไม่กล้ารบกวน
"ไม่ครับแล้วอาเล็กไม่ไปเที่ยวที่ไหนเหรอครับ" นคินทร์มองผู้เป็นอากับเลขาที่แต่งตัวพร้อมจะออกไปด้านนอก
"อาก็จะมาชวนเรานี่แหละแต่ถ้าทำงานอยู่อาก็ไปกับน้องสองคนก็ได้ อาไม่กวนแล้ว" นิรันดร์พูดกับหลานชายด้วยน้ำเสียงเสียดายใบหน้าสลดลงเล็กน้อยทำเอานคินทร์ที่ต้องวางเอกสารแล้วลุกมาหาผู้เป็นอาทันทีด้วยความรู้สึกผิดที่เหมือนกับพาทั้งสองคนมาทิ้งแล้วตัวเองก็เอาแต่ทำงาน
"งั้นไปกันเลยก็ได้ครับนาน ๆ จะได้พาอาเที่ยว"
"จริงนะ"
"ครับ"
"เห็นไหมน้าบอกแล้วว่าหลานน้าว่างอยู่ ดูสิน้องกลัวว่าเราจะไม่ว่างเลยไม่อยากให้น้าพาเข้ามาทั้งที่น้องอยากจะไปเที่ยวกับเราด้วย แต่ติดเกรงใจดูสิ! น่ารักจัง" นิรันดร์พูดชงเลขาคนใหม่ให้หลานชายฟัง พร้อมกับหมายมั่นปั้นมือเรื่องความสัมพันธ์เพราะเห็นแล้วว่าหลังจากส่งนาราเข้าไปทำงานที่บริษัทหลายเดือน เด็กคนนี้ก็ได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดีและได้รับความไว้ใจจากหลานชายตนเองไม่น้อยเรื่องที่คิดคงไม่ไกลเกินเอื้อม
ส่วนผู้จัดการกาสิโนเมื่อกี้ค่อยตามไปคิดบัญชีย้อนหลังเขาไม่คิดว่ามันจะกลัวไอ้คินทร์ถึงขนาดนี้ แต่ให้เปลี่ยนตัวเลขโยกย้ายไปที่อื่นแต่มันกลับไม่กล้าทำ นิรันดร์คิดอย่างหงุดหงิดที่อำนาจในมือหลานชายมันมีมากมายนัก
เสียงของนคินทร์ทำให้นิรันดร์ที่กำลังครุ่นคิดถึงแผนต่อไปกลับเข้ามาสู่ปัจจุบัน ฟังสองคนตรงหน้าพูดคุยพร้อมส่งรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับริมฝีปากเหมือนกับว่าชื่นชมยินดี
"ครับถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่านาราอยากไปเที่ยวที่ไหนบอกพี่ได้เลยนะครับ"
"จริงนะครับพี่คินทร์" นาราที่ยิ้มจนแก้มปริหลังจากได้รับการตอบรับของคนที่ชอบทำเอาตื่นเต้นดีใจใหญ่สอดแขนเรียวเข้าไปกอดแน่นที่แขนแกร่งของคนที่เป็นทั้งเจ้านายและคิดว่าจะต้องพัฒนาไปไกลมากกว่าฐานะเจ้านายกับลูกน้อง
"อ่า..หลานอาน่ารักที่สุดเลยครับไปครับนาราวันนี้พวกเราไปถล่มเจ้ามือกันให้หนักเลย" นิรันดร์ส่งยิ้มให้หลานชายกับนาราพร้อมกับเดินนำหน้าปล่อยสองหนุ่มเดินควงแขนกันตามออกมา โดยมีลูกน้องคนสนิทพ่วงมาด้วยสองคนกับหัวหน้าบอดี้การ์ดที่เดินออกมาจากความมืดมิดหลังห้องทำงานที่ไม่ได้ปรากฏตัวให้ใครเห็นแต่คนสนิททั้งสองคนกับเจ้านายก็รู้ถึงการอยู่ในห้องของอีกฝ่าย
...
ภัตตาคาร
"ขอบคุณพี่คินทร์มากเลยนะครับแต่นาราเกรงใจจังครับ ดูสิครับเสียเงินตั้งเยอะแยะ" นาราพูดด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจมองไปยังหัวหน้าบอดี้การ์ดที่กำลังถือของพะรุงพะรังและส่วนมากเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมกับเสื้อผ้าที่มีราคาแพง
"น้องนาราครับเงินเท่านี้จนหน้าแข้งหลานน้าไม่ร่วงหรอกครับ จริงมั้ยตาคินทร์" นิรันดร์หันมาถามหลานชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหยอกล้อหลานชาย
"ครับ" นคินทร์ตอบและยิ้มรับอย่างยอมรับซึ่งมีแต่คนที่เป็นอาเล็กเท่านั้นที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้
นิรันทร์ที่เห็นใบหน้าของหลานชายก็หันไปหาคนที่ตัวเองพามาหันไปมองนาราด้วยรอยยิ้มละมุน "เห็นมั้ยล่ะน้องนาราน้าบอกแล้ว แต่ว่าอาว่าให้คนเอาของไปเก็บที่ห้องอาให้หน่อยได้ไหมครับ"
"ครับ" นคินทร์ตอบกลับก่อนจะหันไปทางบอดี้การ์ด" ไอ้นณมึงเอาของไปเก็บแล้วรีบกลับมาภายในยี่สิบนาที" เสียงสั่งการส่งไปยังหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ถูกละระดับมาทำหน้าที่ทุกอย่างภายใต้คำสั่งของเจ้านาย
"อาว่าไม่ต้องให้อนณมาแล้วก็ได้นี่ครับเดี๋ยวพวกเราก็จะกลับแล้ว ดูสิครับน่าจะเหนื่อยน่าดูของที่หิ้วมาก็เยอะไม่น้อยทำไมไม่ให้คนอื่นช่วยถือละครับ"
"ไม่เป็นไรครับขอตัวก่อนนะครับ" อนณค้อมตัวก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ใบหน้ายังคงราบเรียบเฉยเมยจนนิรันดร์ที่มองอยู่ยังนึกหมั่นไส้แต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
"เฮ้อเด็กคนนี้ดื้อเสียจริง" นิรันดร์ถอนหายใจทำหน้าเห็นใจก่อนจะหันไปตักอาหารให้หลานชายนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
"อ่ะทานเยอะ ๆ นะ ดูสิครับนารานี่ชักจะเก่งใหญ่แล้วสั่งอาหารที่หลานน้าชอบทั้งนั้นเลย จริงมั้ยตาคินทร์"
"ครับ"
"ดีใจที่พี่คินทร์ชอบนะครับ" เสียงใสตอบกลับมาทำเอานคินทร์ยิ้มตามเพราะความร่าเริงของคนตรงหน้าทำให้นคินทร์อดคิดไปถึงใบหน้าของเด็กที่เคยยิ้มแย้มด้วยความสดใสเมื่อสิบปีก่อนไม่ได้ เลยเผลอลูบศีรษะนารายิ่งทำให้นาราคิดเข้าข้างตัวเองว่านคินทร์เริ่มมีใจ ก่อนจะหันหน้าทำท่าเอียงอายใบหน้าสวยแดงซ่านสบตากับนิรันดร์อย่างรู้ความหมายก่อนจะหันกลับมาเอาใจเจ้านาย
ส่วนนคินทร์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไปก็รีบเอามือลงสายตาคู่คมเหลือบไปมองหัวหน้าบอดี้การ์ดที่หันหลังเดินออกไปในใจกระตุกเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องไปคิดถึงรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น
ส่วนนิรันดร์ที่เห็นการกระทำของนคินทร์ก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจคิดแผนการขึ้นต่อไปก่อนจะยกไวน์ขึ้นจิบโดยสายตายังไม่ละไปจากคนทั้งคู่ อีกไม่นานแล้วสินะ!!
หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง
หัวหน้าบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำสนิทที่กำลังยืนสูบบุหรี่มองแสงไฟตรงทางเข้าโรงแรมหรูโดยมีลูกน้องอีกจำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนที่ยืนกระจายรอรับเจ้านาย อนณมองความสวยงามของเมืองศิวิไลซ์แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ในความนึกคิดของเขา เพราะในหัวสมองมีแต่คำว่าต้องดูแลนายเหนือหัวให้ปลอดภัยเพียงเท่านั้น
เจ็ดปีสองเดือนยี่สิบเอ็ดวันกับสิบแปดนาทีที่เขาถูกพาเข้ามาในตระกูลอัครวรางกูลและทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยจวบจนได้ตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีส่วนตอนนี้เขาอายุยี่สิบห้าปีเต็มอนณมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดตามเจ้านายไปทุกพื้นที่ ไม่มีวันหยุดเป็นของตัวเองทำงานสามร้อยหกสิบห้าวันด้วยความเต็มใจ อนณถูกจำกัดอยู่ภายใต้ผู้นำของตระกูลอครวรางกูลในฐานะสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ห้ามมีปากเสียงห้ามโต้แย้งห้ามกระทำการใด ๆ ที่เป็นการทำให้เจ้านายไม่พึงพอใจ และยังมีหน้าที่ที่ต้องทำให้เจ้านายอีกหน้าที่คือการเตรียมความพร้อมของเหล่าบรรดานายบำเรอที่ตนเองเป็นคนไปติดต่อเพื่อมาให้เจ้านายได้ปลดปล่อยยามมีความต้องการและหน้าที่นี้ก็ถูกรับมอบหมายมาจนถึงทุกวันนี้
แต่สิ่งที่ยากยิ่งสำหรับอนณหลังจากผ่านค่ำคืนนั้นมาก็คือความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งเขารู้ว่ามันคืออะไรและมันเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่นเขาก็ชอบมองพี่ชายใจดีคนนั้นซึ่งเขารู้ดีว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความรักจากแบบพี่ชายน้องชายแต่หลังจากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเขารู้ได้ทันทีว่าทั้งเขาและคุณนคินทร์เป็นเพียงเส้นขนาดที่ไม่มีวันบรรจบลงได้ แต่เรื่องทางกายนั้นมันเป็นเพียงความต้องการของเจ้านายที่เขาเองก็เต็มใจที่จะรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
นึกไปถึงเรื่องที่เขาต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์นี้ก็คือตอนที่นายบำเรอที่เขาพามารับใช้นั้นเกิดกลัวทั้ง ๆ ที่เขานั้นเตรียมตัวให้เรียบร้อยและไม่ลืมกระซิบเตือนในสิ่งที่ต้องเจอแต่พอเจอเข้ากับความจริงความดิบเถื่อนของเจ้านายที่เพียงต้องการปลดปล่อยทำให้เจ้าตัวไม่เคยคิดถนอมคู่นอน ทำให้นายบำเรอทนไม่ไหวผู้ชายคนนั้นกรีดร้องขอความเมตตาแววตาปรากฏความตื่นตระหนกสุดขีดหน้าซีดขวัญผวาตัวสั่นงันงกนั่งกอดตัวเองอย่างน่าสงสาร ทั้งที่ตอนแรกตกลงกันนั้นผู้ชายคนนั้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตัวเองนั้นสามารถรับความดิบเถื่อนแบบนั้นได้ แต่กลายเป็นว่าผู้ชายคนนั้นเพียงต้องการเงินและฝืนใจทำสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ
เขาจำได้ว่าเจ้านายนั้นสบถออกด้วยความเดือดดาล เขาที่อยู่ด้วยก็รู้สึกสงสารนายบำเรอคนนั้นไม่น้อยก่อนจะพาเจ้าตัวออกไปให้พ้นหน้าคนเป็นเจ้านายและจัดการจ่ายค่าทำขวัญและยกเลิกสัญญาและค่าอุดปากไปจำนวนหนึ่งล้าน ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยสำหรับงานครั้งแรกที่ไม่สำเร็จและยิ่งรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากถึงต้องมาทำเรื่องแบบนี้หลังจากที่เขาให้เงินผู้ชายคนนั้นไปก็เพียงแค่หวังว่าจะเพียงพอกับความต้องการในตอนนั้นและคงจะจำเอาไว้เป็นบทเรียน
แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้นเพราะอารมณ์โมโหและค้างคาบวกกับความมึนเมาจึงทำให้เจ้านายมาคว้าเขาที่อยู่ใกล้ตัวและเป็นคนที่เกลียดนักเกลียดหนาแต่ถึงจะเมาก็ยังรู้ว่าคนที่นอนใต้ร่างตัวเองนั้นเป็นเขาส่วนเขายังจำคำพูดในวันนั้นได้ดี
'นี่กูต้องมาเอากับตุ๊กตายางเหรอวะ จืดชืดฉิบหายไร้ประโยชน์สิ้นดี'
หลังจากนั้นตุ๊กตายางหรือสุนัขรับใช้หรืออะไรก็แล้วแต่ตามที่เจ้านายอยากจะเรียกก็ถูกจัดเป็นคนคอยรองรับความต้องการรองจากนายบำเรอที่ไม่ได้ดั่งใจหรือในยามที่เจ้านายอารมณ์ไม่ได้ สุนัขรับใช้อย่างเขาอยู่ใกล้มือที่สุดก็เป็นคนที่ต้องรองรับอารมณ์นั้นโดยไม่มีข้อแม้
อนณในตอนนั้นเพียงต้องทำตามที่เจ้านายสั่งไม่เคยคิดไกลไปมากกว่านั้นชั่วชีวิตนี้มีเพียงรับใช้ลูกของเจ้านายที่ผู้เป็นบิดาได้ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ
แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนทำให้อนณเริ่มมีความคิดเปลี่ยนไปแม่ที่เขาคิดเสมอว่าเป็นผู้ป่วยจิตเวชกลับพูดในสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง หลังจากที่เขาคุยกับแม่พูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนยังเป็นเล่าเรื่องราวระหว่างเราสามคนพ่อแม่ลูกอย่างที่เคยทำทุกครั้งตอนที่เขาไปเยี่ยม แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเขาสังเกตว่าแม่มีท่าทางแปลกไป ยามที่มีเจ้าหน้าที่มาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ แม่ก็พร่ำพูดไปเรื่อยกับนั่งเล่นตุ๊กตาที่เขาไม่เคยเห็นแม่เอาไว้ห่างตัวแต่ยามที่คนพวกนั้นถอยห่างออกไป แม่ก็จ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักที่เขาไม่เคยเห็นมานานพร้อมกับพูดว่าให้เขาระวังตัว มีคนจ้องจะทำร้าย ที่บ้านหลังนั้นไม่ปลอดภัยแต่พอคนพวกนั้นเข้ามาใกล้แม่ก็กลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องนั่งคุยกับตุ๊กตาในมือเหมือนเดิม เขามองแม่ด้วยความแปลกใจแล้วเธอก็ถูกเจ้าหน้าที่พากลับเข้าห้องไป เขาออกมาจากที่นั่นด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสงสัย
แม่เขาไม่ได้ป่วยจริงแต่ที่ทำอยู่นั้นเพราะต้องการหนีอะไรบางอย่างใช่หรือไม่