บทที่ 4 ความวุ่นวายในชีวิต
บทที่ 4 ความวุ่นวายในชีวิต
เจตนิพัทธ์รู้สึกตัวขึ้นมาในช่วงประมาณเจ็ดโมงเช้า ปกติเขามักตื่นเร็วกว่านี้ อาจเพราะเมื่อคืนเขาเข้านอนช้ากว่าปกติไปหลายชั่วโมงล่ะมั้ง ถึงได้เผลอนอนตื่นสายกว่าที่เคย
หลังจากที่คนตัวสูงลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็หันไปมองข้างกายทันที พอเห็นว่าที่นอนข้างตัวว่างเปล่าแทนที่จะรู้สึกพอใจที่ผู้หญิงคนนั้นรู้สถานะของตัวเอง แต่เจ้าของใบหน้าคมเข้มกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างไรชอบกล ก่อนจะรีบสะบัดหน้าเรียกสติให้กับตัวเอง เขายังมีงานต้องไปทำอีกมากจะมาเสียเวลาใส่ใจเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งไปทำไมกัน
ร่างสูงโปร่งลงจากเตียงก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำจัดการทำความสะอาดร่างกายก่อนจะออกมาสวมใส่เสื้อลายสก๊อตสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีซีด เส้นผมสีดำสนิทไม่ได้รับการตกแต่งใด ๆ เขาเพียงแค่ยกมือเสยมันขึ้นเพื่อไม่ให้ปรกหน้าก็เท่านั้น
เจตนิพัทธ์ต้องไปดูคนงานเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่เช้า เป็นแบบนี้ตลอดในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ไร่จิตรลดานอกจากจะปลูกผลไม้ต่าง ๆ แล้ว ก็ยังมีพวกพืชผักอีกหลากหลายชนิด แถมเขายังทำฟาร์มโคนม รีสอร์ตและคาเฟ่เพิ่มขึ้นมาอีกต่างหาก เพราะงั้นในแต่ละวันงานของชายหนุ่มจึงเยอะจนแทบจะล้นมือ
เป็นปกติที่มื้อกลางวันคุณนายจิตรลดามักจะรับประทานเพียงลำพัง เนื่องจากลูกชายมักจะกินข้าวจากโรงอาหารที่เดียวกับคนงาน เจตนิพัทธ์บางครั้งก็คล้ายคนมากเรื่อง แต่บางเรื่องลูกคนนี้ก็เป็นคนง่าย ๆ
“อาการหนูบัวเป็นยังไงบ้าง” คนเป็นนายเอ่ยถามคนสนิท เมื่อช่วงสายเธอให้ป้าชื่นไปตามบัวบูชามาทานข้าวแต่กลับพบว่าเด็กสาวมีไข้สูง จึงให้แม่บ้านวัยกลางคนยกข้าวยกยาไปให้ในห้อง
"เมื่อกี้เข้าไปวัดไข้ ยังมีไข้สูงอยู่ค่ะคุณนาย แต่ว่าชื่นเช็ดตัวให้หนูบัวไปแล้ว น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ สงสัยเมื่อคืนคุณชายจะหนักมือกับหนูบัวไม่น้อยเลยนะคะ เด็กคนนั้นถึงได้จับไข้แบบนี้” คำพูดท้ายประโยคของป้าชื่น ทำให้สีหน้าของคุณนายจิตรลดาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงคนป่วยเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
“หวังว่าหนูบัวจะทำให้ความคิดลูกชายฉันเปลี่ยนไปได้สักทีนะ” เพราะที่ผ่านมาเจติพัทธ์แทบไม่ยุ่งกับผู้หญิงหน้าไหน มันทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอร้อนใจจริง ๆ พอเป็นคนนี้ในที่สุดก็เป็นไปอย่างที่คุณนายจิตรลดาต้องการเสียที
วันนี้มีงานหลายส่วนที่ต้องเข้าไปดู แต่เจตนิพัทธ์กลับมีแรงเหลือเฟือในการทำงาน อีกทั้งยังรู้สึกสดชื่นและกะปรี้กะเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกต่างหาก งานสุดท้ายของวันคือคุมคนงานขนผลไม้ไปเก็บยังโกดัง เสร็จสรรพเรียบร้อยนายคนใหม่ของไร่จิตรลดาก็เดินทางกลับบ้านในช่วงเวลาเกือบจะหกโมงเย็น
ทุกวันเขามักจะเข้าบ้านแล้วตรงไปยังห้องครัวไม่ค่อยได้หันมองอะไรรอบตัวหนัก แต่วันนี้ดวงตาคมกลับกวาดไปมาคล้ายกับจะหาใครบางคนอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่พบใคร
เจตนิพัทธ์เลิกมองหาแล้วจึงก้าวไปยังห้องครัวอย่างที่ทำทุกวัน และเป็นเช่นเคยที่ในห้องนี้มีแม่และป้าชื่นอยู่ เจ้าของร่างสูงโปร่งเดินไปล้างไม้ล้างมือ แล้วมานั่งยังเก้าอี้ของตัวเอง เขายังทานข้ามเงียบ ๆ เช่นเคย
เจตนิพัทธ์คิดว่าตัวเองทำทุกอย่าง 'เช่นเคย' แต่ในสายตาคนเป็นแม่และป้าชื่นในตอนนี้ กลับมองเห็นคนที่มีคล้ายมีเรื่องจะถามแต่ไม่ยอมถามมากกว่า
"มีอะไระถามแม่รึเปล่า เห็นเงยหน้ามามองกันหลายที" คนเป็นแม่เอ่ยแซวพร้อมกับนัยน์ตาที่มองลูกชายอย่างมีเลศนัย
“เด็กนั่นไปไหนล่ะครับ ไหนว่ามาทำงานช่วยป้าชื่นด้วย หรือว่ามีหน้าที่ออกมาแค่ตอนกลางคืน” เจตนิพัทธ์ยังตีหน้าขรึมตอนถามออกไป ทำราวกับว่าความจริงก็ไม่ได้อยากจะรู้สักเท่าไหร่
พอได้ยินลูกชายเอ่ยถามถึงบัวบูชาขึ้นมาแบบนี้ก็ทำเอาคุณนายจิตรลดาอมยิ้มออกมา ปกติลูกชายของเธอนั้นสนใจผู้หญิงเสียที่ไหนกันล่ะ เคยหาลูกสาวเพื่อนสวย ๆ โปรไฟล์ดี ๆ มาให้ก็มาก แต่ก็ไม่เคยเห็นจะถามหาเลยสักครั้ง
“พูดถึงหนูบัวขึ้นมาก็ดีเลย ลูกก็ช่วยเบามือกับหนูบัวหน่อยไม่ได้รึไง รู้หรอกว่าไม่ได้นอนกับผู้หญิงมานาน แต่หนูบัวเขาก็ตัวแค่นั้น จะทำอะไรก็ช่วยให้มันพอดี ๆ บ้าง ดูสิคืนแรกก็ทำหนูบัวเขาจับไข้ไปแล้ว ไม่รู้พรุ่งนี้จะดีขึ้นรึเปล่า"
"อ่อนแอจังเลยนะครับ เห็นลุกกลับห้องเองไหวก็นึกว่าจะอึดมากกว่านี้ แบบนี้จะทำงานสมกับค่าหนี้ของพ่อตัวเองรึเปล่าล่ะ"
"พอเลยตาเจต อย่าพูดจาแบบนั้นกับหนูบัว แล้วก็อย่าดูถูกหนูบัวให้มากนัก ยังไงเธอก็คนเหมือนกัน" คุณนายจิตรลดาเอ่ยปรามลูกชาย ด้วยใจหนึ่งก็คาดหวังไปไกลว่าบัวบูชาอาจจะละลายก้อนน้ำแข็งในใจลูกชายเธอได้ในสักวัน แต่หากปล่อยให้เจตนิพัทธ์เอาแต่พูดจาเหยียดหยามอีกฝ่ายอยู่แบบนี้ มีหวังต้นรักคงไม่มีวันได้เติบโตแน่
"จะพยายามก็แล้วกันนะครับ แล้ว...ที่ว่าป่วย ดีขึ้นบ้างรึยังล่ะ"
"เป็นห่วงคนอื่นเป็นกับเขาด้วยเหรอ"
"แค่กลัวว่าจะมีคนตายในบ้านก็เท่านั้นแหละครับ"
คนเป็นแม่ถอนหายใจเสียงดังใส่ลูกชายพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ไม่รู้เจตนิพัทธ์ไปเอานิสัยปากคอเราะรายแบบนี้มาจากใครกัน
"ว่าแต่คนนี้เป็นไงบ้างล่ะ ลูกถูกใจอยู่ใช่ไหม”
“ทำไมต้องถามผมแบบนี้ครับ” เจตนิพัทธ์ยังตีหน้ามึน ตักกับข้าวเข้าปากต่อ เขาไม่ได้ตอบแม่ออกไปก็จริงแต่ในหัวกลับคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่
ถูกใจไหม?
ก็ต้องยอมรับว่าถูกใจไม่น้อย ร่างกายของเราเข้ากันได้ดี ภายในตัวของบัวบูชาก็ทั้งอุ่นทั่งนุ่มจนเขาแทบละลาย และจนถึงตอนนี้ปลายลิ้นของเจตนิพัทธ์ก็ยังจำความหอมหวานของอีกฝ่ายได้ดีเชียวแหละ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันก็แค่ความพึงพอใจทางด้านร่างกายก็เท่านั้น เพราะเขายังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอผู้หญิงคนนั้นแม้แต่นิดด้วยซ้ำ
“แม่ก็แค่สงสัย แต่ก็น่าจะโอเคใช่ไหม แม่ได้ข่าวว่าหนูบัวเป็นคนดีนะ ทำตัวดีมาตลอด ไม่เคยมีแฟนเลยด้วย”
“ครับ” เขาตอบกลับแม่เสียงห้วน ๆ ทว่าหูกลับตั้งใจฟังสิ่งที่แม่พูดอยู่อย่างไม่เข้าใจตัวเอง ว่าจะสนใจอยากรู้เรื่องของผู้หญิงคนนั้นไปทำไม
“เห็นว่าเพิ่งจะเรียนจบมาใหม่ ๆ แม่ว่าจะให้ลูกดูงานที่ไร่ให้หนูบัวหน่อย งานบัญชีอะไรพวกนี้ หนูบัวเขาจบมาทางนั้น”
“นึกว่าให้มาอยู่แค่ในฐานะเมียเก็บผมแค่นั้นซะอีก”
“ก็หนูบัวเขาบอกแม่ว่าอยากทำงานด้วย ชดใช้หนี้ก็อีกส่วนหนึ่ง ทำงานก็อีกส่วนหนึ่ง แม่เห็นว่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เลยตอบตกลงไป ยังไงเจตก็หาตำแหน่งให้หนูบัวหน่อยก็แล้วกัน”
“ก็ได้ครับ งั้นก็ให้เธอไปเรียนรู้งานกับมินตราแล้วกัน”
'มินตรา' คือเลขาของเจตนิพัทธ์ ซึ่งอายุมากกว่าลูกชายเธออยู่สองถึงสามปีได้ เท่าที่คุณนายจิตรลดาดูมาก็ถือว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ทำงานเก่งไม่น้อยทีเดียว
“ก็ดีนะ เดี๋ยวแม่บอกหนูบัวให้ก็แล้วกัน เอ๊ะ หรือว่าลูกอยากบอกกับเธอเอง หนูบัวต้องดีใจมากแน่เลย” คนเป็นแม่เอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มคล้ายจะแหย่ลูกชายเล่นไปในตัว
เจตนิพัทธ์เงยหน้ามองแม่ที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยมาให้ก็ต้องขมวดคิ้ว ทำไมเขาจะต้องอยากไปพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นด้วย แค่ให้งานทำก็มากเกินพอแล้วไม่ใช่รึไง
"ก็แล้วแต่แม่เถอะครับ"
คุณนายจิตรลดายกยิ้มกว้างขึ้นเมื่อไม่ได้รับคำปฏิเสธจากลูกชาย ในอกคล้ายกับจะเห็นความหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบอกไม่ถูก
"งั้นแม่ก็ฝากเจตบอกหนูบัวด้วยแล้วกัน ว่าจะให้หนูบัวไปทำงานที่ส่วนไหน กับใครยังไง"
"ก็ได้ครับ" หลังรับปากแม่เขาก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เจตนิพัทธ์รู้สึกราวกับว่าตั้งแต่ผู้หญิงที่ชื่อบัวบูชาเข้ามาที่บ้าน ชีวิตเขาก็ดูจะวุ่นวายกว่าเดิมอย่างไรอย่างนั้น