บทที่ 1 ข้อเสนอล้างหนี้
บทที่ 1 ข้อเสนอล้างหนี้
"รู้ไหมฉันเกลียดอะไรที่สุด"
คำถามดังมาจากหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบซึ่งนั่งราวกับนางพญาอยู่บนเก้าอี้ไม้ ข้างกายมีชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสองคนประกบซ้ายและขวา "พวกที่สัญญาว่าจะคืนเงินแต่ไม่ยอมคืนสักทียังไงล่ะ"
"ผมขอโทษจริง ๆ ครับคุณนาย ผมผิดไปแล้ว" คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ร่างกายสะบักสะบอมจากการถูกรุมกระทืบรีบยกมือไหว้ขอโอกาสจากเจ้าหนี้
ทว่าบทสนทนาก็ถูกขัดจังหวะจากเสียงของผู้มาใหม่เสียก่อน
"นี่มันเรื่องอะไรกันคะ"
บัวบูชา ถามออกไปทั้งที่ยังหอบเหนื่อย เมื่อครู่ภรรยาใหม่ของพ่อรีบร้อนไปตามเธอซึ่งอาศัยอยู่บ้านของตาและยาย อีกฝ่ายร้อนรนบอกให้บัวบูชารีบมาหาพ่อที่บ้าน และเอาแต่พูดว่า พ่อเธอจะโดนพวกมันตีตายอยู่แล้ว
ถึงแม้จะเติบโตมาได้เพราะตาและยายช่วยเลี้ยงดู แต่ด้วยความเป็นลูกบัวบูชาก็ยังมีจิตใจเป็นห่วงพ่อที่ไม่เคยเหลียวแลตนอยู่บ้าง
"ทำไมถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกันหนักแบบนี้ด้วยคะคุณ" หญิงสาวถามขณะเข้าไปประคองร่างผู้เป็นพ่อ ที่แทบจะนั่งยังไม่ไหวด้วยซ้ำ
"เพราะว่าพ่อเธอเป็นหนี้แต่ไม่ยอมใช้ไงสาวน้อย ผลัดมาเป็นปี บาทเดียวก็ไม่เคยคืนให้ฉัน"
คุณนายจิตรลดา เอ่ยตอบหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจดีกว่าตอนที่พูดกับลูกหนี้มากนัก สายตาก็ลอบสำรวจตามเนื้อตัวและใบหน้าของบัวบูชา ก่อนจะยกยิ้มพึงพอใจขึ้นมา
"จริงเหรอพ่อ พ่อไปเป็นหนี้เขาเท่าไหร่ แล้วทำไมไม่คืนเขาล่ะ" บัวบูชาหันมาเอาความกับคนเป็นพ่อ
"กูจะเอาที่ไหนมาคืน เสียจนหมดตัวทุกวันแบบนี้"
คำตอบของคนเป็นพ่อถึงกับทำเอาบัวบูชาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เธอรู้ว่าพ่อติดพนันหนักแค่ไหน ก่อนหน้าที่ตากับยายยังมีชีวิตอยู่พ่อก็มักจะโผล่หน้าไปหาแค่ตอนที่ต้องการเงินก็เท่านั้น
"เป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ก็บอกลูกสาวไปสิ" คุณนายจิตรลดาเร่งเร้า เพราะเธอเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาทวงหนี้แค่กับ อรรถพล คนเดียวเท่านั้น ยังมีลูกหนี้สันดานเสียอีกมากที่ต้องเจอคนจริงอย่างคุณนายจิตรดา
"นะ...หนึ่งล้าน" อรรถพลเสียงสั่นตอนบอกยอดหนี้รวมดอกเบี้ยทั้งหมดให้ลูกสาวฟัง
"หนึ่งล้าน! ทำไมพ่อไปกู้เงินคนอื่นเยอะแยะแบบนั้นล่ะ แล้วจะเอาที่ไหนมาคืน"
ในขณะที่บัวบูชาเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดกับจำนวนหนี้สินที่ผู้เป็นพ่อก่อ คนเป็นพ่อกลับรีบเข้ามาจับมือเธอและส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย
"มันมีวิธีอยู่ ใจเย็น ๆ นะบัว คุณนายเขายื่นข้อเสนอดี ๆ ให้พ่อเมื่อกี้เอง แต่แกต้องช่วยพ่อนะบัว ถ้าแกไม่ช่วยพ่อต้องตายแน่ ๆ"
"ขะ ข้อเสนออะไร" อยู่ ๆ บัวบูชาก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และหัวใจดวงน้อยก็ต้องตกไปอยู่แทบเท้าเมื่อได้ฟังข้อเสนอจากปากคนเป็นพ่อ
"ให้แกไปเป็นเมียลูกคุณนายแค่ครึ่งปี ครึ่งปีเองบัว แค่นั้นคุณนายก็จะยกหนี้ให้พ่อทั้งหมดเลย"
บัวบูชานิ่งค้างไปราวกับช็อกจนพูดไม่ออก หรือไม่ก็อาจเพราะความเสียใจมากก็เป็นได้ คนเป็นพ่อพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย และไม่เห็นความรู้สึกผิดบนสีหน้าเลยสักนิดยามที่บอกให้เธอเอาตัวเองไปใช้หนี้แทน
"แค่ครึ่งปีเองนะบัวนะ"
"พ่อพูดออกมาได้ยังไงกัน" น้ำสีใสร่วงหล่นอาบแก้มเนียน เธอรู้สึกผิดหวังในตัวคนเป็นพ่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า "บัวไม่ทำ บัวไม่ได้เป็นคนไปกู้เงินใครมาสักหน่อย"
"ฉันเป็นพ่อแกนะ แกไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณที่ฉันให้แกเกิดมาบ้างเลยรึไงนังบัว!"
"พอได้แล้ว" คุณนายจิตรลดาสั่งขึ้นอย่างทรงอำนาจ ทำเอาอรรถพลถึงกลับหดคอหนี ยอมเงียบปากเงียบคำทันที
เจ้าหนี้ร่างอวบลุกจากที่นั่งก่อนจะเดินมายอบตัวลงข้างสาวน้อยที่สะอื้นไม่หยุด
"หนูไม่ทำไม่ได้เหรอคะ ขอเวลาให้หนูสักหน่อยนะคะคุณนาย หนูจะรีบหางานแล้วหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อ หนูไหว้ละค่ะคุณนาย" บัวบูชายกมือไหว้คนตรงหน้าอย่างขอความเห็นใจ ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
"ความจริงฉันเองก็ไม่ได้อยากบังคับฝืนใจใคร แต่ฉันค่อนข้างถูกใจหนูบัวนะเลยยื่นข้อเสนอแบบนี้ให้ อย่ากลัวไปเลย ไปกับฉันหนูไม่ลำบากหรอก มีที่นอนดี ๆ ให้ มีข้าวให้กินทุกมื้อ หรือถ้าหนูอยากใช้สิ่งที่เรียนมาทำงาน ฉันก็จะหางานให้ทำไปด้วยระหว่างนั้น อีกอย่างลูกชายฉันไม่ใช่คนขี้เหร่อะไร แค่หนูบัวทำให้เขาพอใจตลอดหกเดือนหลังจากนี้ ชีวิตหนูกับพ่อก็จะเป็นอิสระ หนี้สินหนึ่งล้านของพ่อหนูจะกลายเป็นโมฆะทันที"
คนอายุมากเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงใจดี พร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เด็กสาว
"ทำเพื่อพ่อสักครั้งเถอะนะบัว" คนเป็นพ่อคลานเข่าเข้ามาจับแขนเธอไว้อีกครั้ง
บัวบูชาหันมองพ่อทั้งที่ตาแดงก่ำจากการร้องไห้ พ่อขอให้เธอทำเพื่อพ่อสักครั้ง แล้วพ่อล่ะเคยทำอะไรเพื่อเธอบ้าง หากถามออกไปก็คงได้คำตอบเช่นเคย คือ เป็นคนทำให้เธอเกิดมายังไงเล่า
และมันก็มักจะเป็นคำที่เธอเถียงไม่ออก เพราะเธอเองก็ยังอยากใช้ชีวิต อยากทำงานตามสายงานที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา และมีความฝันที่อยากทำ บัวบูชาอยากเก็บเงินไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้ไปมาก่อนในชีวิต มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างจริง ๆ ที่เธอยังอยากจะทำ
"ตกลงค่ะหนูจะทำ" ดวงตากลมยังจ้องมองใบหน้าพ่อที่ยกยิ้มพอใจในคำตอบของเธอ แต่ฝ่ามือกลับแกะมือพ่อออกจากแขนแล้วผลักให้ออกห่าง "ถือว่าบุญคุณต่าง ๆ ของเราสองพ่อลูกหมดลงที่ตรงนี้ ต่อไปบัวไม่มีพ่อ และพ่อก็ไม่มีลูกชื่อบัวอีก พ่อจะด่าว่าบัวอกตัญญูยังไงก็เชิญ แต่บัวคิดว่าสิ่งที่บัวยอมทำเพื่อพ่อครั้งนี้มันทดแทนกับที่พ่อทำให้บัวได้เกิดมาแล้ว"
"บัว" คนเป็นพ่อเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูราบเรียบของลูกสาว
"หลังจากนี้พ่อจะได้มีชีวิตใหม่ไม่ต้องติดหนี้ล้นตัว หวังว่าพ่อจะได้สติขึ้นมาบ้างแล้วตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เพราะต่อไปบัวจะไม่ช่วยอะไรพ่ออีกแล้ว ถือว่าครั้งนี้คือครั้งสุดท้ายที่บัวจะช่วยพ่อ"
ใบหน้าสวยหวานเผยความเศร้าออกมาให้เห็น ในตอนนี้บัวบูชายืนอยู่หน้าไร่จิตรลดา เจ้าของไร่คือคุณนายจิตรลดาผู้ร่ำรวยมากที่สุดในจังหวัด แถมยังเป็นเจ้าของที่ดินทำเลงามหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นเจ้าหนี้ของพ่อเธอด้วยเช่นกัน
มีคนบอกว่าคุณหญิงจิตรลดาเป็นคนดี แต่ความดีของคนเราก็มีวันหมดลงได้เช่นกัน ข้อนี้บัวบูชาไม่ได้โทษผู้เป็นเจ้าหนี้เลยสักนิด แต่เป็นเพราะบิดาเธอต่างหาก ผิดที่หยิบยืมเงินมาแล้วไม่ยอมชดใช้ ผ่านมาเป็นปีก็ยังเงียบอยู่ผ่อนสักเดือนก็ไม่มี ผลัดแล้วผลัดอีก จนกระทั่งคุณนายจิตรลดาต้องยื่นหยิบยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้
บัวบูชาไม่รู้ว่าทำไมการชดใช้หนี้สินของพ่อ จึงมาจบลงที่เธอต้องยอมเป็นนางบำเรอให้กับลูกชายเพียงคนเดียวของคุณนายจิตรลดาด้วย ทั้งที่คนแบบนั้นก็น่าจะมีผู้หญิงมากมายยอมเสนอตัวให้แท้ ๆ
เจตนิพัทธ์ ทายาทเพียงคนเดียวของคุณนายจิตรลดา เธอเคยได้ยินชื่อเสียงของชายหนุ่มมาบ้าง ใคร ๆ ก็บอกว่าผู้ชายคนนี้หล่อเหลาเอาการ แถมยังเป็นคนฉลาดบริการจัดการไร่จิตรลดาแห่งนี้จนมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม ทั้งทำรีสอร์ต ทั้งทำฟาร์มโคนม ทั้งทำคาเฟ่ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมที่ไร่มากขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าผู้ชายที่มีดีขนาดนี้ถึงยังขาดผู้หญิงอยู่
บัวบูชาเคยได้ยินคนในตลาดพูดถึงเจตนิพัทธ์คนนี้ว่าเข้าถึงยากมาก มีผู้หญิงมากมายพยายามจะให้ท่าเพื่อที่จะได้ขึ้นเตียงกับชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่สนใจใครเลย จนมีข่าวลือว่านายคนใหม่ของไร่จิตรลดาคนนี้เป็นพวกรักชอบเพศเดียวกัน
เสียงถอนหายใจของบัวบูชาดังออกมาครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบ เธอไม่รู้ว่าการที่ตัวเองตัดสินใจเดินทางมาที่นี่เป็นสิ่งที่ผิดหรือถูกกันแน่ ก่อนจะต้องปลอบใจตัวเองอีกคราว่าเธอตัดสินใจไปแล้ว อย่าได้ลังเลอีก
เจ้าของใบหน้าหวานยกมือถือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะได้ยินเสียงรถกระบะคันหนึ่งขับมาทางที่เธอยืนอยู่ นั่นจึงทำให้บัวบูชาเผลอกำสายกระเป๋าเสื้อผ้าแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“คุณบัวบูชาใช่ไหมครับ” เป็นเสียงชายวัยเลยเลขห้าสิบเอ่ยถาม นั่นจึงทำให้เจ้าของชื่อพยักหน้า ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“เรียกหนูว่าบัวเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” เธอไม่คุ้นชินเลยที่มีใครมาเรียกคุณและชื่อเต็มแบบนี้ อีกอย่างบัวบูชาไม่ได้สูงส่งอะไร เธอเป็นเด็กฐานะยากจน ได้ทุนเรียนมาตลอดจนจบมัธยมปลาย ระหว่างนั้นก็ช่วยตากับยายทำงานหาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอด
แต่เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตาก็ล้มป่วยและจากไปก่อน ไม่นานนักยายก็ตรอมใจและจากไปด้วยอีกคน บัวบูชาจึงต้องหาเงินส่งเสียตัวเองเพียงลำพังจนกระทั่งเรียนจบ โดยที่คนเป็นพ่อไม่เคยหยิบยื่นให้แม้แต่บาทเดียวด้วยซ้ำ
ดวงตาคู่สวยพลันหม่นแสงเธอไม่ได้เศร้าเรื่องที่พ่อไม่เคยส่งเสีย แต่เสียใจที่อุตส่าห์เรียนจบและยังไม่มีโอกาสได้หางานทำด้วยซ้ำ ก็ต้องมาชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อแทนพ่ออยู่แบบนี้
“ครับ หนูบัว ลุงชื่อกรนะ เชิญครับคุณนายรออยู่” ลุงกรบอกก่อนจะขึ้นรถไปนั่งตำแหน่งคนขับหลังจากที่ช่วยยกกระเป๋าเสื้อผ้าของบัวบูชาไปเก็บไว้ตรงเบาะด้านหลังให้
บัวบูชาก้าวตามขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งข้างคนขับ รถกระบะสีดำขับเคลื่อนเข้าไปตามท้องถนน ซึ่งปากทางเข้าไร่และตัวบ้านของคุณนายจิตรลดานั้นห่างไกลกันอยู่หลายกิโลเมตรทีเดียว
ตลอดทางบัวบูชาทอดมองและสำรวจสถานที่ที่เธอต้องเข้ามาอยู่ต่อจากนี้อีกหกเดือน เธอไม่เคยเข้ามาในไร่แห่งนี้เลยสักครั้ง รู้แต่ว่าไร่จิตรลดามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล พอเธอได้มาเห็นกับตาก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่นานนักรถกระบะคันสีดำที่เธอนั่งอยู่ก็มาจอดสนิทยังหน้าบ้านไม้สักทองสองชั้นหลังหนึ่ง
บัวบูชาลงจากรถก่อนจะเดินตามลุงกรเข้าไปด้านในตัวบ้าน เมื่อเห็นคุณนายจิตรลดานั่งอยู่เจ้าของใบหน้าหวานก็รีบวางกระเป๋าพร้อมกับยกมือพนมไหว้อีกฝ่ายทันที
“มาแล้วเหรอหนูบัว” น้ำเสียงที่ใช้กับเด็กสาวก็ยังคงความใจดีเช่นเคย แตกต่างจากตอนที่ขู่ให้ลูกหนี้คืนเงินลิบลับ
“ค่ะคุณนาย”
คุณนายจิตรลดาหันไปหาแม่บ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่าง ป้าชื่น ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายพาบัวบูชาไปยังห้องพักคนงาน ให้บัวบูชาเก็บของให้เรียบร้อยค่อยตามไปหาตนที่ห้องหนังสือ เพราะเจ้าของบ้านยังไม่อยากพูดคุยรายละเอียดข้อเสนออีกข้อเสนอหนึ่งในตอนนี้ ซึ่งป้าชื่นก็ทำตามที่ผู้เป็นนายสั่ง นำทางบัวบูชาไปยังห้องพักของเด็กสาวซึ่งอยู่ด้านหลังของบ้าน
คุณนายจิตรลดายังมองตามแผ่นหลังบอบบางของเด็กสาวที่ชื่อบัวบูชา ก่อนนายหญิงของไร่จิตรลดาจะถอนหายใจออกมา เธอบอกตัวเองว่าคิดถูกแล้วที่ทำแบบนี้ เพราะลูกชายคนเดียวเล่นไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย จนมีข่าวลือเสียหายเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันว่าเจตนิพัทธ์ชอบไม้ป่าเดียวกัน
ลูกชายเป็นแบบไหน ชอบเพศอะไรทำไมคนเป็นแม่จะไม่รู้ แต่คุณนายจิตรลดาก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกันว่าเป็นเพราะอะไร ลูกชายเพียงคนเดียวถึงได้ไม่สนใจผู้หญิงหน้าไหนเลยตลอดหลายปีมานี้
“เฮ้อ คิดถูกแล้วแหละที่ทำแบบนี้ เผื่อความคิดพ่อตัวดีจะเปลี่ยนไปได้บ้าง” คุณนายจิตรลดาพูดขึ้นกับตัวเอง แต่ก็ยังเผยสีหน้าวิตกกังวลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนหน้านี้เธอเปรย ๆ เรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้ว แต่ลูกชายอย่างเจตนิพัทธ์ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ นอกเสียจากทำใบหน้าบึ้งตึงเหมือนหงุดหงิดใส่กัน
ช่วงบ่ายของวันป้าชื่นเดินมาตามบัวบูชาที่ห้อง เพื่อให้ไปพบผู้เป็นนายยังห้องหนังสือ เพราะคุณนายจิตรลดามีเรื่องจะพูดคุยกับเด็กสาวเพิ่มเติม ซึ่งเรื่องที่จะพูดนี้แม่บ้านคนสนิทอย่างป้าชื่นก็รู้เรื่องด้วย
อันที่จริงเรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะป้าชื่นเองก็ได้ ที่ดันเสนอแนะผู้เป็นนายไป เพราะเห็นว่าคุณนายจิตรลดาเครียดเรื่องลูกชายมานาน อีกอย่างก็พอรู้มาว่าลูกสาวของนายอรรถพลหน้าตาน่ารัก ชาวบ้านก็พูดกันว่านิสัยค่อนข้างดี อ่อนหวาน แถมยังขยันขันแข็งช่วยตายายทำงานมาตั้งแต่เด็ก บางทีอาจจะพอทำให้คุณชายของป้าชื่นถูกใจบ้างก็เป็นได้
และคุณนายจิตรลดาก็ดูจะสนใจคำแนะนำของคนสนิทไม่น้อย จึงได้ยื่นข้อเสนอให้กับลูกหนี้อย่างอรรถพล หนี้ทั้งหมดแลกกับตัวลูกสาวของอีกฝ่าย
“นั่งก่อนสิหนูบัว” คุณนายจิตรลดาบอกคนที่เข้ามาใหม่ เมื่ออีกฝ่ายนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม เจ้าของบ้านก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้ “นี่คือรายละเอียดต่าง ๆ และข้อเสนอเพิ่มเติมที่ฉันอยากให้หนูอ่าน”
บัวบูชารับเอกสารมาอ่านเงียบ ๆ ก่อนจะเผยสีหน้าตกใจขึ้นมาเมื่ออ่านจบ โดยไม่รู้เลยว่าท่าทีทั้งหมดของตนนั้นอยู่ในสายตาของคุณนายจิตรลดาทั้งหมด คุณนายของบ้านเองก็กังวลไม่น้อยอยู่เหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้จะว่ายังไงกับข้อเสนอของเธอบ้าง
“มะ หมายว่ายังไงคะเรื่องท้อง” บัวบูชาเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างไม่เข้าใจ นี่มันนอกเนื้อจากที่คุณนายเคยพูดกับเธอที่บ้านของพ่อนี่นา
“เอาตรง ๆ เลยนะหนูบัว ยังไงหนูก็มาเป็นนางบำเรอให้กับลูกชายฉันแล้ว ถ้าหนูตั้งท้องกับลูกชายฉันได้ก่อนกำหนดครึ่งปี นอกจากหนี้สินจะหมดลงแล้ว ฉันยังจะให้เงินหนูอีกก้อนใหญ่แลกกับทายาทของตาเจต”
“ไม่ค่ะ หนูยอมเป็นนางบำเรอให้กับลูกชายคุณนายก็จริง แต่หนูไม่อยากมีลูกกับเขา”
บัวบูชาไม่อยากมีพันธะหรือความเกี่ยวข้องใด ๆ กับคนบ้านนี้ แค่เรื่องที่เธอต้องมาเป็นนางบำเรอให้ลูกชายคุณนายมันก็ฝืนใจเธอเต็มทนอยู่แล้ว บัวบูชาคิดว่าครึ่งปีมันก็ยาวนานพอแล้วกับฝันร้ายที่จะเกิดขึ้นกับเธอ หลังจากนั้นเธออยากจะหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ไปให้ไกลจากคนเป็นพ่อด้วย
สิ่งเดียวที่ยังปลอบใจบัวบูชาให้หายใจต่อไปได้ในทุกวันนี้ ก็คือคำว่า 'อิสระ' อิสระที่เธอจะได้รับหลังจากผ่านหกเดือนนี้ไปได้ ต่อให้คุณนายจะเสนอเงินมากมายแค่ไหนเธอก็ไม่มีวันรับไว้อย่างแน่นอน
“คิดให้ดีก่อนหนูบัว ถ้าหนูตั้งท้องหลานให้ฉันได้ ฉันจะให้เงินหนูบัวอีกห้าล้าน มันไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลยนะ”
“เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ นี่คะ อีกอย่างหนูยังยืนยันคำเดิมค่ะ ว่าหนูมาที่นี่แค่ทำหน้าที่นางบำเรอให้ลูกชายคุณนายแค่หกเดือนเท่านั้นค่ะ เรื่องอื่นหนูคงทำให้ไม่ได้จริง ๆ หากคุณนายยังอยากบังคับให้ทำก็เอาชีวิตบัวไปเถอะค่ะ”
คุณนายจิตรลดาผ่อนลมหายใจออกมายืดยาว ก่อนที่เธอจะพยักหน้าคล้ายยอมรับการตัดสินใจของเด็กสาวตรงหน้า
“เอาเถอะ เรื่องท้องฉันไม่อยากบังคับจิตใจหนูบัวมากไปกว่านี้ ไม่ก็ไม่ แต่ว่าเย็นนี้ก็เตรียมตัวรอแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้ป้าชื่นไปบอก”
“คะ คืนนี้เลยเหรอคะ”
“ใช่ ฉันอยากให้หนูบัวทำความรู้จักกับลูกชายฉันด้วย ไม่ว่ายังไงหนูบัวก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ ลูกชายของฉันไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันทำหรอกนะ เพราะงั้นทำยังไงก็ได้ให้เขานอนกับหนูบัวให้ได้ ไม่งั้นจะถือว่าหนูบัวไม่ได้ทำตามข้อตกลงของเรา และหนี้สินของพ่อหนูบัวฉันคงจะต้องคิดดอกเบี้ยเพิ่ม”