บทนำ กู่ไม่กลับ
‘ต่อให้เป็นมารดาก็มิมีสิทธิ์ขัดขวางเจ้า’
‘ปิดปากนางซะ’
‘คนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้’
สิ้นเสียงนั้นสตรีเยาว์วัยก็ง้างมือปักมีดสั้นให้เหลือเพียงแต่ด้ามจับโผล่พ้นเนื้อหนังออกมา สตรีใกล้วัยกลางคนสีหน้าวูบไหวสั่นระริกมิอาจเปล่งเสียงใดได้ พยายามเอ่ยเรียกบุตรสาว
“หะ…หรง”
แต่ทว่าตัวผู้กระทำอย่างเสิ่นหรงลี่ ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีเขียวผิดแปลกจากทั่วไปยังคงล่องลอย คล้ายไม่รับรู้ถึงการกระทำของตนเอง กว่าจะได้สติกลับคืนมาก็เป็นยามที่เลือดสีแดงสดไหลรินออกมาจนเปรอะเปื้อนมือ
หนี ข้าต้องหนี เลือด…คนตาย ท่านแม่ ข้าแทงท่านแม่
ทว่าขาทั้งสองกลับไม่อาจก้าวออกไปไหนได้ เพราะแววตาตกใจ เสียใจ และผิดหวังของคนเป็นแม่แจ่มชัดเหลือเกินในสายตาของหรงลี่
“ทะ…ท่านแม่ ข้าขอโทษ ท่านแม่ ละ…ลูกขออภัยเจ้าค่ะ”
เสิ่นหรงลี่ลนลานดึงมีดออกจากลำคอของมารดา แต่นั่นกลับทำให้ทุกสิ่งเลวร้ายลง เลือดในกายพุ่งสาดไปทั่วบริเวณ และฮูหยินรองของจวนสามารถเปล่งคำสุดท้ายออกมาได้เพียงคำเดียวก่อนสิ้นใจ พร้อมกับตะเกียงภายในห้องที่ดับลงไปอย่างไม่ทราบสาเหตุโดยพร้อมเพรียง
“ไม่”
คุณหนูรองของสกุลเสิ่นมิอาจรู้ได้เลยว่า ‘ไม่’ ของผู้เป็นมารดาหมายถึงสิ่งใดระหว่าง ‘ไม่เป็นไร’ หรือ ‘ไม่อภัย’ แต่เพราะสภาพจิตใจที่ยังอยู่ท่ามกลางความตกใจ เสิ่นหรงลี่สรุปกับตนเองว่าอย่างไรผู้เป็นแม่ก็ควรจะหมายความว่าไม่ให้อภัยนาง
ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานมารดาของนางพึ่งจะจับได้ว่าตัวนางเป็นผู้วางแผนทำลายเสบียงในจวนอ๋อง หากมารดาไปบอกผู้อื่นอย่างที่พูด ตัวเสิ่นหรงลี่อย่างไรก็ถูกต้องโทษ เมื่อถูกมารดาคาดคั้นมากเข้า สติที่มีก็เลือนรางลง เหลือเพียงเสียงมารร้ายที่คุ้นเคยมาตลอดทั้งชีวิตสั่งให้จัดการมารดาจนเด็ดขาด
เสียงนี้คอยบอกกล่าวให้นางทำสิ่งต่างๆ ทั้งวางแผนฆ่าพี่สาว ฆ่าครอบครัวสายรอง แล้วจึงจะถึงเวลาสังหารสกุลเสิ่นสายหลักทั้งตระกูล เสียงนั้นมักพูดอยู่เสมอว่าสกุลเสิ่นเกลียดชังนาง ทุกคนเพียงแค่ทำดีให้ตัวนางตายใจ คนในสกุลรักเพียงเสิ่นลี่อิงผู้เป็นพี่สาว แต่รังเกียจเสิ่นหรงลี่ผู้เป็นคุณหนูรอง
‘ออกไปฆ่าคนอื่นๆ สิ ยืนเฉยรอให้ผู้ใดมาจับตัวเข้าคุกหรือหรงลี่’
“ไม่นะ หยุดพูดนะ หยุดมากล่าววาจาบ้าๆ ในหัวข้าเสียที” เสิ่นหรงลี่แกว่งมีดไปมารอบกาย คล้ายว่าจะฟาดฟันมารร้ายตนนั้นให้จงได้ แต่ปัดป่ายเท่าใดก็มีเพียงเสียงมือตวัดผ่านอากาศ
‘ข้าเคยโกหกเจ้าหรือ ผู้ใดก็ล้วนอยู่ข้างเสิ่นลี่อิง เจ้าต้องจัดการทุกคน’
“ข้าไม่รู้…ข้าไม่รู้อีกแล้ว หยุดสักที!” พร้อมกันกับเสียงของเสิ่นหรงลี่ท้องฟ้าร้องดังครืน และแสงฟ้าแลบสว่างวาบ ส่งให้เสิ่นหรงลี่เห็นภาพสะท้อนจากมือมารดาที่กำมือชูเพียงนิ้วก้อย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การบอกรักที่รู้กันเฉพาะตัวนางและมารดา
“เจ้าโกหก หากทุกคนรังเกียจข้า นั่นหมายรวมถึงท่านแม่ด้วย ท่านแม่รักข้า แม้ตัวตายก็ยังบอกรัก” เสิ่นหรงลี่กล่าวเท่านั้น พยายามปัดป่ายแกว่งแขนข่มขู่ แม้จะไม่เห็นที่มาของเสียงนั้น แต่การออกมืออย่างนี้ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จนเสียงมารร้ายเบาลงเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินเสียงใดอีก
“ฮูหยินรอง คุณหนูรองเจ้าคะ ให้บ่าวเข้าไปปิดหน้าต่างนะเจ้าคะ ฝนจะมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ยะ…อย่า! ข้าปิดเองแล้ว จะอยู่กับมารดา ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามา”
“คุณหนูแน่ใจหรือเจ้าคะ”
“ข้าบอกว่าอย่ามายุ่งกับข้า!” ไม่เพียงตะคอกเปล่า หรงลี่เขวี้ยงมีดสั้นในมือออกไปด้วย
“เจ้าค่ะๆ” เพราะมิเคยเห็นโทสะเช่นนี้จากคุณหนูรองบ่าวที่คิดจะมาทำหน้าที่ของตนจึงได้แต่ล่าถอยไป
เสิ่นหรงลี่นั่งลงข้างร่างไร้วิญญาณของมารดา กอดศพนั้นอย่างไม่นึกรังเกียจ น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสายอย่างห้ามปรามไม่อยู่ นึกก่นด่าตนเองว่าเพราะความโง่เขลาจึงทำให้เชื่อมั่นในเสียงอันไร้ที่มาที่ไป จนมิได้พิจารณาความเป็นจริงอันใด ตลอดมาไม่ได้มีผู้ใดร้ายกาจจนสมควรได้รับความเกลียดชังที่นางลอบมีให้แม้แต่คนเดียว มือเล็กๆ เดินกลับไปคว้ามีดนั้น เพื่อมาสลักคำเขียนไว้บนพื้นไม้ หากวิญญาณของท่านแม่ยังวนเวียนจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของนางตลอดไป
“ตรวจตราให้ดี” เสียงทหารเวรยามดังลอดขึ้นมาจากด้านล่าง เรียกสติของเสิ่นหรงลี่ให้กลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง
หนี ใช่ ข้าต้องหนี ข้าไม่ควรทำร้ายผู้ใดอีกแล้ว โทษทัณฑ์ที่สังหารมารดา ความผิดที่ติดต่อกับมารผีปีศาจ หนักหนาเช่นนี้สมควรอยู่ให้ไกลผู้คน
ในความคิดที่สับสนของหรงลี่มิได้กลัวตายเป็นลำดับแรก แต่นางกลัวว่ามารปีศาจตนนั้นจะกล่าววาจาให้นางทำร้ายคนอีก ยิ่งยามถูกโทษทัณฑ์ไม่แน่ว่าอาจจะร้ายแรงถึงขั้นโดนเจ้าของเสียงนั้นสิงสู่
ร่างไม่สูงนักลากมารดามาไว้ในตู้ เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็นการกระทำของตนเองได้รวดเร็วนัก
“ภพชาตินี้ หรงลี่ชั่วช้านัก หากชาติหน้ามีอยู่จริง ข้าขอชดใช้ให้ท่านแม่อย่างไม่อิดออด” นางกล่าวกับศพของมารดา แล้วจึงจุมพิตลงบนใบหน้าที่เหมือนเพียงคนนอนหลับใหล หรงลี่ยืนมองอีกครู่หนึ่งก่อนจะปิดตู้ลงด้วยใจที่ถูกความละอายกัดกิน
นางแอบลอบออกจากจวนในช่วงที่ทหารยามกำลังเปลี่ยนกำลังคน เสิ่นหรงลี่วิ่งออกไปในทิศทางที่เคยจำได้ว่ามีป่าเขา ตลอดชีวิตนี้รับฟังและทำตามเสียงมาร หากวันนี้จะต้องตายชดใช้ความผิดตัวนางก็จะขอเลือกจุดจบด้วยตนเองไม่ฟังผู้ใดอีก
สองเท้าของสตรีที่มีจิตใจสับสนสัมผัสพื้นสลับกันด้วยจังหวะเร่งเร้า ฝีเท้านี้พาตัวคุณหนูรองเข้าป่ามาถึงบริเวณผาน้ำตกด้วยความเร็วอันไม่น่าเชื่อ ความเชี่ยวกรากของน้ำด้านล่างทำให้ใจนึกกลัวอยู่บ้าง เสิ่นหรงลี่มิรู้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะต้องทำอย่างไร นางมิได้อยากตาย แต่หากไม่ตายหรงลี่เองก็มิรู้ว่าความผิดครั้งนี้จะชดเชยได้อย่างไร ในหัวคิดวนไม่อาจหาความสมเหตุสมผลใดได้เลย
ข้าไม่มีทางใดให้กลับแล้ว บุตรอกตัญญูสมควรตาย แต่ข้าก็มิต้องการตาย
“แต่แม้ทำไปเพราะเชื่อคำลวงก็สมควรตาย” เสิ่นหรงลี่กล่าวท่อนท้ายของความคิดออกมา ตั้งท่าจะกระโดดลงดำดิ่งเตรียมเข้าสู่อ้อมกอดความตายและน้ำเย็นจัดเบื้องล่าง
‘เจ้านี่มันโง่เง่าจริง เชื่อคำข้าจนอาสาตายทำลายตน ฮ่าๆๆ นังโง่! ตายได้เสียที’ เสียงนั้นดังก้องขึ้นอีกครั้ง เรียกให้ดวงตาสีเขียวเบิกโพลง ตกใจระคนเกรี้ยวกราด ว่าแม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มารตนนี้ก็ยังไม่คิดปล่อยให้หรงลี่ได้จากไปอย่างสงบ
“เช่นนั้น…ข้าไม่อยากตายแล้ว ข้าจะอยู่ให้มารอย่างเจ้ารำคาญหัวใจ ต่อให้มิมีวันเป็นไปได้ข้าก็จะตามหาเจ้าจนพบ มนุษย์ผู้นี้จะถลกหนังมาร!!!”
สิ้นคำกล่าวเสิ่นหรงลี่ก็เตรียมที่จะถอยกลับมา แต่ทว่าท่อนขาที่ใช้งานมาหนักหนากลับอ่อนแรงลง ทำให้เสิ่นหรงลี่ทรงตัวไม่มั่นคงจนพลัดตกผาน้ำตกสูง พร้อมกันนั้นเสียงเย้ยหยันก็ดังก้องไม่หยุดหย่อน คำสมน้ำหน้าที่สุดท้ายนางก็ถึงคราวตายแจ่มชัด
แรงต้านอันไร้ที่มาเกิดขึ้นกลางอากาศ น้ำมากมายพุ่งขึ้นมาเป็นเบาะรองชะลอร่างของเสิ่นหรงลี่ไว้มิให้ตกรุนแรงเกินไป แต่เมื่อเจ้าของร่างที่กำลังร่วงหล่นสังเกตเห็นแสงสีน้ำเงินจางๆ น้ำที่โอบรับไว้ก็ตกลงเบื้องล่างด้วยความเร็ว แสงที่มาจากด้านขวาของผาดึงสายตานางให้จับจ้อง ทว่ายังไม่ทันมองให้แน่ชัดทุกอย่างก็ถึงคราวดับสิ้นลง
สีดำสนิทของน้ำปกคลุมไปทั้งร่างกายและจิตใจของเสิ่นหรงลี่ นางรู้สึกถึงเพียงความเย็นเยือกที่ทิ่มแทงลงบนผิวหนังดั่งว่าเป็นเข็มปักผ้าพุ่งเข้าหาตัว เพียงแต่ไม่นานนักความรู้สึกหนาวจนเจ็บร้าวไปถึงกระดูกก็หายไปเช่นกัน สัมผัสทั้งหมดค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับร่างนี้ที่จมดิ่งสู่ก้นน้ำตก
.
.
.
“แค่กๆ แค่ก” เปลือกตาของเสิ่นหรงลี่กะพริบถี่ๆ รับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาจนสะท้อนดวงตาสีเขียวให้ส่องประกายดั่งหยกน้ำดี แต่ปรับสภาพอยู่นานดวงตานี้ก็มิอาจสู้แสงแรงจัดได้ จึงต้องยกมือขึ้นมาบดบัง และพยายามพลิกร่างที่ชอกช้ำจากแรงกระแทกเพื่อหลบแสงอาทิตย์เพิ่มอีกวิธี นั่นจึงทำให้หรงลี่ได้หันไปพบกับร่างชายผู้หนึ่งนอนแผ่อยู่เคียงข้าง
ชายผู้นี้คงตายพร้อมข้าสินะ อีกเดี๋ยวก็คงมีผู้มารับดวงวิญญาณ
คิดได้ดังนั้นเสิ่นหรงลี่ก็รู้สึกขุ่นใจที่มารตนนั้นชนะในท้ายที่สุด แต่เมื่อคิดได้ว่าหากตายก็ย่อมมีโอกาสได้พบมารดา นางจึงนอนฝันหวานถึงโอกาสที่จะได้กล่าวขออภัยต่อผู้เป็นมารดาด้วยตนเองอีกครั้งในปรโลกแห่งนี้
________________