4
อีกหน้าที่หนึ่งที่ทำได้ดีไม่ตกบกพร่อง คือ หน้าที่เป็นแม่พันธ์ ผลิตทายาทให้ตระกูลอินทระนุสรณ์ เกือบทุกคืนพุฒิวัตรจะเข้ามาในห้องนอนเธอ เพื่อทำหน้าที่สามี เสร็จภารกิจเขาจะเดินออกจากห้องเธอทันที กลับไปนอนห้องเขา สองปีมานี้แม้พุฒิวัตรและพราวพรรณร่วมมือร่วมใจผลิตทายาทกันเพียงไร ทว่ายังไร้วี่แวว นภาพรจึงพึ่งวิธีทางการแพทย์ ผลที่ออกมาคือไม่ติด นภาพรจึงพับโครงการนี้ ใช้วิธีธรรมชาติหวังว่าสักวัน ทายาทคนแรกของตระกูลถือกำเนิด
ไม่เพียงแค่พราวพรรณทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี พุฒิวัตรก็เช่นกัน โดยเฉพาะหน้าที่สามีที่ดีต่ออรอนงค์ ภรรยาคนแรกที่สี่ปีมาแล้วยังคงขยับเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ อาการอรอนงค์ทรงตัว ไม่ดีขึ้นไม่แย่ลง เขาไม่เคยบ่นเรื่องการดูแลอรงอนงค์ ทำเสมอต้นเสมอปลายจนบางครั้งพราวพรรณอิจฉา ทุกวันตอนเช้าพุฒิวัตรจะเข้าไปเช็ดตัวให้คนป่วย ให้อาหารทางสายยาง ก่อนส่งต่อให้พยาบาลที่จ้างมาดูแลรับช่วงต่อ กลับมาจากทำงานก็จะเข้าไปพูดคุยกับอรอนงค์ คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้รู้สึกว่า เขาอยู่ใกล้เธอเสมอ วันหยุดของพุฒิวัตร เขามักหมกตัวในห้องอรอนงค์ทั้งวัน หากมีนัดกับลูกค้าหรือเพื่อน หลังจากกลับมาก็จะเข้าไปหาอรอนงค์เป็นคนแรก ส่วนภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างพราวพรรณ เขามาหาแค่ช่วงเวลาสามทุ่มแค่นั้น
“วันนี้พราวกลับบ้านช้านะคะ มีนัดกินข้าวกับลูกค้า”
พราวพรรณบอกพุฒิวัตรขณะเดินออกจากห้องกินข้าว เขาไม่ตอบรับใดใด ไม่มีคำถามว่าไปกินข้าวที่ไหน ลูกค้าเป็นใคร พุฒิวัตรเพียงแค่พยักหน้าเหมือนรับรู้ ก่อนเดินออกจากบ้าน ไปยังรถยนต์ของตน หมางเมินกับพราวพรรณจนอยากร้องไห้ออกมา แต่ก็ต้องฝืนไว้เต็มกำลัง ก้าวเดินตามร่างหนาด้วยใจร้าวราน
ถ้าไม่รักคงไม่เจ็บช้ำ...
ใช่...พราวพรรณรักพุฒิวัตร ทั้งที่เขาไม่มีทีท่าสนใจเธอสักนิดเดียว แต่หัวใจเจ้ากรรมกลับเทใจให้เขาทั้งดวง เพราะนอกเหนือจากความหล่อเหลาชนิดที่ว่า กระตุกดวงใจทันทีที่เห็นหน้า ความรักมั่นคงของพุฒิวัตรทำให้เธอประทับใจ และไม่คิดว่าผู้ชายแบบนี้มีอยู่ในโลก เขาแสดงให้รู้ว่า ไม่ว่าอรอนงค์เป็นเช่นไร ความรัก ความเอาใจใส่ต่ออรอนงค์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
การที่เธอกล้ารักชายหนุ่มที่มีใจมั่นคง พราวพรรณก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ทว่าทุกค่ำคืนที่กายแนบชิดกัน พราวพรรณสัมผัสได้แต่ความเย็นชาที่ฉาบอยู่บนตัวเธอนั้น นับวันเธอก็รู้สึกขมขื่นใจเป็นอย่างมากเพราะอยากอยู่ในอ้อมกอดสามียามนอน ให้ความอบอุ่นเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป แต่เธอต้องอดทนเพื่อให้สัญญาของสองครอบครัวเป็นจริง และหวังว่าสักวันหนึ่ง สิ่งที่ทำและอดทนมาตลอดจะทำให้เธอสมหวังในความรักบ้าง ไม่ว่านานแค่ไหน หญิงสาวก็จะรอ แม้ไม่มีวันนั้นเธอก็ยินดีรอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องทำงานพราวพรรณดังขึ้น เจ้าของห้องเงยหน้ามองคนที่เดินเข้ามา เธอยิ้มวางปากกาลงบนเอกสาร ทักทายชายหนุ่มรูปงาม เจ้าของบริษัทเครื่องสำอางชื่อดังของเมืองไทยที่มีมูลค่ารายได้กว่าหนึ่งพันล้าน
“พี่ไอซ์” คนถูกทักเดินมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้อง เขาวางถุงของฝากติดโลโก้แบรนด์เนมบนโต๊ะ “ไหนบอกว่าจะกลับอาทิตย์หน้าไงคะ ทำไมถึงกลับก่อน”
“คิดถึงพราวไง เลยกลับมาก่อน” ปวีณวิชหย่อนคำหวาน “งานเสร็จเร็วน่ะก็เลยกลับมาก่อน ขากลับพี่ซื้อกระเป๋ามาให้พราวด้วยนะ แบบใหม่ล่าสุดในไทยยังไม่มี”
“ขอบคุณพี่ไอซ์มากค่ะ” พราวพรรณรับน้ำใจจากชายหนุ่มตรงหน้า ที่เอาใจใส่เธอมาตลอด ไม่ว่าไปไหนมักซื้อของมาฝาก วันเกิดทุกปีที่รู้จักกันเขาไม่เคยลืม นำของขวัญมาให้เธอเสมอ วันปีใหม่สากล วันปีใหม่ไทยก็ไม่เว้น และหลายครั้งที่เขาอยากซื้อให้ อาจพูดได้ว่า อยากซื้อให้ตอนไหนก็ซื้อให้ก็ว่าได้ “สวยจังเลยค่ะ ใบกำลังดีเลย ราคาก็แรงไม่เบาเลย พราวเกรงใจพี่ไอซ์ค่ะ ไปไหนมาไหนก็ซื้อของมาฝากพราวตลอด ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“พี่เห็นกระเป๋าใบนี้นึกถึงพราวทันทีเลยนะ คิดว่าเหมาะกับพราวมากๆ ว่าแต่พราวชอบไหม” ตอนซื้อเขาไม่คำนึงถึงราคามากกว่านี้ก็จ่ายได้ เพราะนึกถึงแต่หน้าคนให้
“ชอบค่ะ ชอบมากเลย” เธอชื่นชมความสวยของกระเป๋า “อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ พราวเกรงใจพี่ไอซ์ เพลาๆ ลงบ้างก็ได้นะคะ”
“เพลาได้ที่ไหน ซื้อของให้พราวคือความสุขของพี่ เป็นทางเดียวที่ทำให้พี่รู้สึกว่า พี่ยังมีพราวอยู่ข้างๆ อยู่ในใจพี่ตลอดเวลา เหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงหัวใจ”
สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน นัยน์ตาทั้งคู่สบประสาน เจ้าของห้องรู้ดีว่า ปวีณวิชรู้สึกเช่นไรกับตน เขาบอกให้เธอรู้ก่อนวันแต่งงานไม่กี่วัน ซึ่งพราวพรรณปฏิเสธความรักนั้นไปด้วยความจริงและความจำเป็น
ตอนนั้นปวีณวิชยินดีให้เงินเศรษฐาเพื่อไปใช้จ่ายในบริษัทโดยไม่มีข้อแม้ ทว่าพราวพรรณไม่รับข้อเสนอนั้น เนื่องจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย และบิดาได้เงินครึ่งหนึ่งมาแล้วด้วย เท่ากับว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ปวีณวิชไม่ยอมแพ้ เขาไปพูดกับเศรษฐาและรุ่งราตรีให้ยอมยกเลิกข้อตกลงกับทางพลวัตร แต่ก็ได้รับคำตอบเดียวกันว่า ทุกอย่างสายเกินกว่าแก้ไข ทั้งสองได้ทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หากยกเลิกก็จะถูกฟ้องร้อง และอาจถูกยึดบริษัท ประโยคหนึ่งที่ทำให้ปวีณวิชหยุดดื้อดึงคือ