1
งานแต่งงานเล็กๆ ในบ้านหลังใหญ่มีเพียงญาติสนิทของบ่าวสาวไม่ถึงยี่สิบคน บรรยากาศภายในงานควรเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ความชื่นมื่น ทว่ากลับไม่ใช่เช่นนั้น มันอึมครึม ไม่ต่างกับเมฆฝนสีดำกระจายวงกว้างบนท้องฟ้า ไร้ความสดใสใดใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้าบ่าว ใบหน้าเขาเรียบเฉย รอยยิ้มสักนิดก็ไม่มี ทั้งที่เป็นวันดี เป็นวันมงคลของตัวเองแท้ๆ
เหตุผลที่ใบหน้าเขาไร้รอยยิ้ม อาจเป็นเพราะการแต่งงานครั้งนี้ เจ้าสาวคือสตรีที่ไม่ปรารถนา เขาไม่คิดแต่งงานด้วย แต่ที่ยอมให้เกิดงานวิวาห์วันนี้เนื่องจาก บิดามารดาร้องขอ
“ยิ้มสักนิดสิลูก วันนี้วันดีของลูกนะ” คุณหญิงนภาพรบอกพุฒิวัตรหรือพุฒิ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เจ้าของใบหน้าบอกบุญไม่รับ
“คุณแม่อย่าสั่งผมเลยครับ แค่นี้ผมก็ฝืนใจจะแย่อยู่แล้ว”
พุฒิวัตรพูดตรงกับใจ
“เอาน่าคุณ อย่าบังคับลูกเลย พุฒิทำเพื่อเรามากแล้วนะ”
พลวัตร นายทหารนอกราชการบอกภรรยา เขาเห็นใจลูกชายมาก ทว่ากลับไม่ห้ามงานวิวาห์ครั้งนี้ เพราะยอมรับว่า ตนมีเป้าหมายเดียวกันกับนภาพรคือ อยากมีหลาน
นภาพรมองหน้าลูกชายแล้วถอนหายใจพรืดยาว นางสงสารพุฒิวัตรเช่นกัน ในทางเดียวกันก็สงสารตัวเองด้วย หากอรอนงค์ภรรยาคนแรกของลูกชายไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ป่านนี้นางคงได้เลี้ยงหลาน ไม่ต้องขอร้องให้พุฒิวัตรทำในเรื่องฝืนใจ
ทางด้านเจ้าสาว เครื่องสำอางบนใบหน้าทำให้พราวพรรณสวยงามจับตา คำชื่นชมผ่านปากครอบครัวและคนที่มาร่วมงาน มีเพียงคนเดียวที่ไม่เอ่ยคำใดกับเธอเลยคือ พุฒิวัตร แม้แต่มองหน้าก็ไม่คิดมองสักนิดเดียว ทำราวกับว่าเธอเป็นอากาศ รู้ว่ามีอยู่จริงแต่มองไม่เห็น ความงดงามกลับไม่สามารถกลบความเศร้าบนดวงหน้าหวานได้ แม้บางช่วงมีรอยยิ้ม แต่ก็เป็นการปั้นยิ้ม สวนทางกับความรู้สึก
จะมีเพียงสองคนที่ยิ้มหน้าชื่นตาบานคือเศรษฐากับรุ่งราตรี บุพการีของพราวพรรณ ทั้งคู่ดีใจมากกับงานวิวาห์ของบุตรสาวคนโต เพราะนั่นหมายถึงการปลดหนี้ปลดสิ้นที่รุงรังมานานให้หายวับไปกับตา แถมยังได้เงินจำนวนสามสิบล้านมาเอื้อหนุนธุรกิจให้เดินต่อไปได้ หน้าตาทางสังคมยังอยู่ ธุรกิจก็ไม่ล้ม ที่สำคัญลูกสาวได้เป็นสะใภ้ตระกูลดัง งานนี้ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม
พิธีการดำเนินต่อไปจนจบพิธีรดน้ำสังข์ ขั้นตอนต่อไปคือจดทะเบียนสมรสที่ทางเจ้าบ่าวไม่เต็มใจเอาเสียเลย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ หลังจากขั้นตอนนี้จะเป็นการเลี้ยงอาหารแขกที่แม้มีไม่มากก็ตาม
พุฒิวัตไม่สนใจต้อนรับทักทายแขกที่มาร่วมงาน หลังจากจรดปลายปากกาชื่อตนเองในทะเบียนสมรส พุฒิวัตรก็เดินออกจากงาน ขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที โดยไม่สนใจว่าใครจะว่าอย่างไร ขนาดมารดาและบิดาพูดรั้ง พุฒิวัตรก็ไม่สน เพราะหมดหน้าที่เจ้าบ่าวจำยอมแล้ว
21.05 น.
บนชั้นสองของบ้านหลังใหญ่มีอยู่ด้วยกันหกห้อง แบ่งเป็นโซนปีกซ้ายและขวา ห้องนอนพลวัตรกับนภาพรอยู่ทางปีกขวาติดกับห้องทำงาน อีกห้องหนึ่งเป็นห้องรับรอง ทางด้านปีกซ้ายมีสามห้อง ห้องแรกเป็นของพราวพรรณสมาชิกใหม่ในบ้าน ถัดมาเป็นห้องส่วนตัวของพุฒิวัตรที่มีประตูเชื่อมไปอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้คนอาศัยคือ อรอนงค์ ภรรยาสุดที่รักของพุฒิวัตร
เมื่อสองปีก่อน อรอนงค์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่งผลให้เธอความจำเสื่อม แย่ไปกว่านั้นคือ เธอไม่สามารถใช้ร่างกายได้เหมือนก่อน กลายเป็นอัมพาตนอนติดเตียง แต่ถึงกระนั้นพุฒิวัตรก็รักและคอยดูแลเธอเรื่อยมาจนถึงวันนี้ เหตุผลสำคัญที่พุฒิวัตรยอมทรยศอรอนงค์เพราะคำขอร้องของบิดามารดาที่อยากมีหลาน ในเมื่ออรอนงค์ทำตามความหวังของพลวัตรกับนภาพรไม่ได้ นภาพรจึงหาผู้หญิงมาเป็นแม่ของหลาน และคนนั้นคือ พราวพรรณ ลูกสาวนักธุรกิจที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินขั้นรุนแรง นภาพรยื่นข้อเสนอให้เศรษฐา แน่นอนว่าเขาต้องรับข้อตกลงทันที งานแต่งงานระหว่างพุฒิวัตรกับพราวพรรณจึงเกิดขึ้น โดยเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ในสภาวะจำยอมด้วยกันทั้งคู่
ประตูห้องนอนพราวพรรณถูกเปิดออกด้วยมือพุฒิวัตร ชายหนุ่มที่เข้ามาทำหน้าที่เจ้าบ่าวให้สมบูรณ์ เขาเดินเข้ามาในห้องที่มีเพียงแสงไฟจากห้องน้ำเป็นแสงนำทาง นัยน์ตาคมกล้ามองสตรีบนเตียงด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่มีความรู้สึกใดใด ที่เข้ามาในห้องนี้ก็เพื่อทำหน้าที่ผลิตหลานให้บิดามารดา
“คุณพุฒิ”
เวลาสามทุ่มกว่าพราวพรรณยังไม่หลับ หรืออาจพูดได้ว่า ข่มตานอนไม่ได้ ลุ้นว่าคืนนี้พุฒิวัตรจะเข้ามาห้องนี้หรือไม่ เธอรู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เสียงปิดประตูห้อง ความตื่นเต้นครอบคลุมจิตใจ หัวใจเต้นแรงมาก เพราะรู้ดีว่า พุฒิวัตรเข้ามาในห้องนี้ทำไม เธอลุกขึ้นนั่งมองสามีสุดหล่อด้วยใจเต้นระทึก เพราะตอนนี้เขากำลังปลดชุดนอนออกจากตัวทีละชิ้น
พราวพรรณอยากเอามือแนบอก เมื่อปราการชิ้นสุดท้ายออกจากร่างกายบึกบึน หญิงสาวอ่อนหัดเรื่องกามารมณ์รีบหันไปมองทางอื่น เลี่ยงมองอวัยวะกลางลำตัวเขา
“ถอดชุดนอนเธอสิ ฉันไม่อยากอยู่ห้องนี้นาน”
ตลอดทั้งวันพุฒิวัตรไม่พูดกับเธอเลยสักคำ ประโยคนี้เป็นประโยคแรก และเป็นประโยคแรกที่เรียกความอดสูให้กับพราวพรรณมากมายนัก วิวาห์ไร้รักว่าปวดร้าวแล้ว ความหมางเมินเย็นชานั้นเจ็บกว่า และเจ็บที่สุดคือ เธอเป็นเพียงแม่พันธุ์ผลิตทายาท หน้าที่ใหญ่ที่ต้องแบกรับไว้แม้ว่าใจระทมมากแค่ไหนก็ตาม