๔.๑ ปากบอกว่าไม่แต่ใจกลับหึง
ใบหน้าคร้ามคมบดกรามแน่นเข้าหากันเพื่อระงับสติอารมณ์เมื่อเห็นว่าสายตาของผู้ชายอื่นอีกหลายคนก็เริ่มจับจ้องไปที่ร่างอ้อนแอ้นสมส่วนนั้นด้วยความรู้สึกนึกคิดที่คงไม่ต่างไปจากเขา
“นั่นว่าที่เมียนายใช่ไหม” แมทธิวถามขึ้นอย่างคาดเดาเมื่อเห็นว่าสาวน้อยคนนั้นเดินตามดาร์เลนและชมพูนุชเข้ามา
“อืม...” ตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตามาจากร่างอ้อนแอ้นนั้นแม้แต่วินาทีเดียว
“ไม่สนเธอจริงๆ น่ะเหรอ ฉันว่าน่ารักดีนะ ถึงไม่ได้สวยเปรี้ยวอย่างสาวๆ ที่นายเคยควง แต่มองแล้วแทบไม่อยากถอนสายตาไปไหน”
ถึงแมทธิวจะพูดถูกทุกอย่าง แต่คนฟอร์มจัดก็ไม่อยากยอมรับให้เสียหน้า ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าไม่สน ก็จะไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองเด็ดขาด!
“เธออาจจะแค่แปลกตาสำหรับนาย” เขาตอบเพื่อนและบอกตัวเองไปพร้อมๆ กันว่ารดาดาวก็แค่สิ่งแปลกใหม่
“ถ้านายไม่สนฉันจีบได้ไหม” แมทธิวหยั่งเชิง พลางแอบลอบยิ้มขันๆ เมื่อเห็นนัยน์ตาสีฟ้าของเพื่อนรักมีร่องรอยของความขุ่นมัวและหวงแหนอย่างเห็นได้ชัด
“ก็เอาสิ ตามสบาย” เอเดนยักไหล่พรืดเป็นเชิงสบายๆ หากใบหน้าคร้ามคมกลับบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม ทำให้คนถามต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
ทางด้านรดาดาวที่เพิ่งเคยออกงานใหญ่ๆ เป็นครั้งแรกเดินขาแทบขวิดด้วยความประหม่า อีกทั้งยังไม่เคยแต่งตัวแบบนี้ออกงานมาก่อน จึงเกรงว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใคร แต่เมื่อเห็นการแต่งตัวของสาวๆ ที่มางานแล้ว อาการประหม่าของเธอก็คลายลงโดยพลัน เพราะทุกคนล้วนแต่แต่งตัวแบบหวือหวา บ้างก็ใส่เกาะอก บางคนก็คว้านหลัง และมีหลายคนที่คว้านด้านหน้าแบบน่าหวาดเสียวจนชุดของเธอดูธรรมดาไปเลย
สาวน้อยอดที่จะมองหาใครบางคนไม่ได้ และรู้สึกแก้มร้อนผ่าวเมื่อเห็นว่าเขายืนอยู่อีกฝั่งของห้องโถงและกำลังจ้องเป๋งมาที่เธอเช่นกัน แต่ทว่าสายตาที่เขามองมาเฉยเมยติดแข็งกระด้างคล้ายจะไม่พอใจด้วยซ้ำ ทำให้หัวใจของรดาดาวแป้วไปทันที รีบเบนสายตาไปมองทางอื่นพลางนึกก่นด่าตัวเองว่าจะไปอยากเห็นเขาทำไม ก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ไยดีอะไร ที่เขาทำหวานด้วยเมื่อหลายวันก่อนก็คงแค่อยากจะทดสอบเสน่ห์ตัวเอง และคงจะหัวเราะเยาะเธอทีหลังที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เขากอดจูบลูบคลำเอาตามชอบใจ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่พลาดพลั้งไปมากกว่านั้น
รดาดาวรีบเดินตามอาทั้งสองไปทักทายเจ้าของงาน ดาร์เลนยื่นมือจับกับอาเธอร์เพื่อนต่างวัยอย่างสนิทสนม ก่อนจะหันไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับจูเลียครู่หนึ่ง แล้วปล่อยให้ภรรยาและหลานสาวได้ทักทายกับเจ้าของงานทั้งสองบ้าง
“นี่ไงคะหนูนิ่มว่าที่ลูกสะใภ้ของเราที่ฉันเล่าให้คุณฟัง” จูเลียเป็นคนแนะนำรดาดาวให้สามีรู้จักด้วยตัวเอง
“หน้าตาน่าเอ็นดูอย่างที่คุณว่าจริงๆ” อาเธอร์พูดกับภรรยา แล้วจึงหันมาทางสาวน้อย “ยินดีต้อนรับนะหนูนิ่ม เชิญตามสบาย เรียกลุงว่าอาเธอร์ก็ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะคุณลุงอาเธอร์”
“แล้วมีอะไรให้ดิฉันกับน้องนิ่มช่วยบ้างไหมคะคุณจูเลีย” ชมพูนุชเอ่ยขึ้นอย่างแสดงน้ำใจ รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่อาเธอร์เองมีท่าทางเอ็นดูหลานสาวของเธอเช่นเดียวกับที่จูเลียเอ็นดู
“เดี๋ยวสักพักจะมีการเดินแบบการกุศลแล้วจากนั้นก็จะมีการเต้นรำ ถ้ายังไงขอเชิญคุณดาร์เลนกับซาร่าเต้นรำเป็นเกียรติหน่อยนะ”
“ยินดีเลยค่ะ”
“ส่วนหนูนิ่มต้องเต้นคู่กับเอเดนเป็นคู่เปิดฟลอร์” มาดามแทลลีย์บอกกับรดาดาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปสบตากับชมพูนุชอย่างรู้กัน
รดาดาวได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้าปฏิเสธคำขอของผู้ใหญ่ การที่ต้องใกล้ชิดกับเอเดนอีกครั้งแม้จะเพียงครู่เดียวก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจพอสมควร ทั้งนี้เพราะสาวน้อยรู้ดีว่ายามที่อยู่ใกล้เขา เธอมักจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ก็ช่างเถอะมันคงเป็นเวลาแค่ไม่กี่นาที อีกทั้งยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่เขาคงไม่กล้าทำอะไรเธอ
ขณะนั้นเองเจนิเฟอร์ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องการเดินแบบของงานคืนนี้ก็ก้าวเข้ามาหาจูเลียด้วยความเร่งรีบ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ามีเรื่องเป็นกังวล
“มีอะไรหรือเปล่าเจนนี่” มาดามแทลลีย์เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“เรามีปัญหานิดหน่อยค่ะมาดาม”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“คือคุณโอลิเวียที่จะเดินแบบชุดฟินาเลเกิดอุบัติเหตุตกบันไดที่บ้าน เธอเพิ่งจะโทร.มาบอกว่าคงจะเดินไม่ได้ค่ะ” เจนิเฟอร์รีบบอกอย่างร้อนใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาคนเดินแทน”
“ใครดีคะมาดาม ความจริงสาวๆ ที่อยู่ข้างหลังก็มีคนอยากใส่ชุดฟินาเลเยอะแยะค่ะ แต่ดิฉันเกรงว่าถ้าให้ใครคนใดคนหนึ่งเดินแทนจะทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจเปล่าๆ พ่อแม่ของแต่ละคนยิ่งบริจาคหนักๆ อยู่ด้วยค่ะ”
มาดามแทลลีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เจนิเฟอร์บอกมา งานนี้เป็นการเดินแบบการกุศล นางแบบก็ไม่ใช่นางแบบมืออาชีพ แต่เป็นลูกสาวของเหล่ามหาเศรษฐีที่บริจาคช่วยมูลนิธิเข้ามา หากจะยกให้ใครใส่ชุดฟินาเลซึ่งจัดได้ว่าเป็นชุดที่เด่นที่สุดแทนโอลิเวียลูกสาวนายกเทศมนตรี คนอื่นๆ ก็ต้องเคืองใจอย่างที่เจนิเฟอร์ว่าแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นให้หนูนิ่มว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันไปเดินแทนก็แล้วกัน” มาดามแทลลีย์ตัดสินใจในท้ายที่สุด
เจนิเฟอร์เบิกตาขึ้นอย่างแปลกใจกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รู้ พลางหันไปมองคนที่มาดามแทลลีย์บอกว่าเป็นว่าที่ลูกสะใภ้อย่างเป็นอัตโนมัติ และก็ยิ้มแป้นออกมาเป็นเชิงถูกใจ เมื่อเห็นว่าสาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นรูปร่างดีมาก หน้าตาก็สะสวย คนมีประสบการณ์มองออกทันทีว่าถ้ารดาดาวสวมชุดฟินาเลเดินอยู่บนเวทีแล้วจะต้องสง่างามราวกับเจ้าหญิง สะกดสายตาผู้ชมทั่วทั้งห้องได้แน่ๆ
รดาดาวตกใจไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้น รีบหันไปมองหน้าผู้เป็นอาอย่างขอความช่วยเหลือ ปกติผู้ใหญ่ขออะไรเธอไม่เคยขัด แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยทำและมันกะทันหันจนตั้งตัวไม่ติด
“ช่วยคุณจูเลียหน่อยเถอะนะน้องนิ่ม” แทนที่ชมพูนุชจะช่วยทัดทานกลับสนับสนุนให้เธอไปเดินแบบเสียอีก
“แต่นิ่มไม่เคยเดินแบบนะคะอาชม คุณป้าจูเลีย” สาวน้อยทำหน้ากระอักกระอ่วน
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันช่วยสอนแป๊บเดียว”
ว่าแล้วเจนิเฟอร์ก็เข้ามากระชับมือของรดาดาวโดยไม่ให้โอกาสปฏิเสธ ชมพูนุชจึงเอ่ยปากฝากฝังหลานสาวกับเจนิเฟอร์ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับจูเลียอย่างถูกใจ
อีกยี่สิบนาทีต่อมาไฟในห้องก็ถูกหรี่ลงจนเกือบจะมืดสนิท แต่แสงไฟบนเวทีซึ่งถูกออกแบบเป็นแคตวอล์กชั่วคราวกลับสว่างไสวขึ้น จากนั้นพิธีกรในงานก็ประกาศว่าจะมีการเดินแบบโดยนางแบบกิตติมศักดิ์พร้อมกันนั้นเสียงเพลงในจังหวะเร้าใจก็ดังขึ้น เรียกเสียงปรบมือและดึงดูดสายตาผู้ชมให้หันไปจดจ้องบนเวทีในทันที
นางแบบคนแรกที่เดินออกมาบนแคตวอล์กเรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี จากนั้นนางแบบคนที่สอง สาม และคนอื่นๆ ก็ทยอยเดินตามกันออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชุดฟินาเลซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของการเดินแบบในคืนนี้ ร่างอรชรสมส่วนในชุดราตรีสีทองหรูเลิศ ตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีทองคำขับผิวขาวให้ผุดผาดเป็นยองใยสะท้อนกับแสงไฟอย่างน่ามอง ตัวเสื้อเป็นแบบแขนยาวทรงเมอร์เมด ประดับด้วยคัตติ้งสุดอลังการ ช่วงกระโปรงผ่าข้างขึ้นมาถึงต้นขาอวดน่องเรียวสวยของคนใส่ ท่วงท่าการเดินแต่ละย่างก้าวของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนนางแบบมืออาชีพ แต่ทว่าสามารถสะกดคนทั้งงานให้ตะลึงไปหลายวินาที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระซิบกระซาบของคนด้านล่างอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าเธอเป็นใครมาจากไหน