๑.๑ เจ้าสาวคลุมถุงชน
๑เจ้าสาวคลุมถุงชน
เมืองคลีฟแลนด์มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
หลังจากผู้เป็นอาจอดรถเรียบร้อยแล้ว เท้าเล็กๆ ซึ่งรองรับด้วยรองเท้าส้นสูงแบบหุ้มส้นก็ก้าวลงมายืนที่ลานน้ำพุหน้าคฤหาสน์สีขาวสุดหรูมูลค่ากว่าสองพันล้านดอลลาร์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว้างขวางเกือบสิบไร่ บริเวณรอบๆ นั้นถูกรายล้อมไปด้วยสนามหญ้า สระน้ำใสแจ๋ว และไม้ประดับนานาพรรณ ทำให้บรรยากาศร่มรื่นเป็นธรรมชาติเย็นสบายชวนให้นึกอิจฉาผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังงามนี้อยู่ไม่น้อย
สาวน้อยเจ้าของใบหน้าหวานใสอดตื่นเต้นไม่ได้ ดวงตาคู่สวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยอายแชโดว์สีครีมประกายทองแบบบางเบา แอบมองสำรวจไปรอบๆ อาณาบริเวณอย่างทึ่งๆ แต่เพียงครู่เดียวก็ถูกอาสาวเรียกให้เข้าไปข้างใน
ร่างอรชรอ้อนแอ้นสมส่วนเดินตัวลีบตามผู้เป็นอาต้อยๆ ไปยังห้องรับแขกซึ่งถูกจัดตกแต่งอย่างหรูหราเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของคฤหาสน์ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงตึกๆ เป็นจังหวะระรัวราวกับกำลังลั่นกลองรบ เพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่วินาทีจะต้องเผชิญหน้ากับใคร
“สวัสดีค่ะคุณจูเลีย” ชมพูนุชยื่นมือไปให้เจ้าของคฤหาสน์จับเป็นการทักทาย และจูเลีย แทลลีย์ สตรีวัยกลางคนเชื้ออเมริกัน-ไอริชซึ่งยังคงสวยสง่าสมวัยก็จับมือตอบด้วยไมตรีจิตอันดี
“สวัสดีจ้ะซาร่า ไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลยนะ ฉันดีใจมากที่เธอมาเยี่ยม”
“คุณจูเลียสบายดีนะคะ”
“สบายดี แต่ช่วงนี้ที่มูลนิธิยุ่งนิดหน่อยเพราะกำลังจะจัดงานราตรีสโมสรการกุศล ยังไงก็เชิญเธอกับดาร์เลนด้วยนะซาร่า แล้วสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนนี้ใช่หลานสาวของเธอหรือเปล่า” พอเจ้าของคฤหาสน์บอกเล่าถึงสารทุกข์สุกดิบของตัวเองแล้วก็หันไปสนใจสาวน้อยที่ผู้เป็นแขกพามาด้วย
“ใช่ค่ะหลานสาวที่ดิฉันเคยบอกว่าจะพามาแนะนำให้คุณจูเลียรู้จักน่ะค่ะ ชื่อรดาดาว เรียกแกว่า ‘นิ่ม’ ก็ได้นะคะ”
“สวัสดีค่ะมาดาม” รดาดาวยกมือขึ้นไหว้จูเลียอย่างนอบน้อม หลังจากผู้เป็นอาแนะนำเธอให้เจ้าของคฤหาสน์ได้รู้จักอย่างเป็นทางการแล้ว
“สวัสดีจ้ะหนูนิ่ม เรียกป้าว่าจูเลียเหมือนที่ซาร่าเรียกก็ได้นะ” หญิงวัยกลางคนบอกอย่างเป็นกันเองขณะพิศมองดวงหน้ารูปหัวใจหวานใสที่ล้อมกรอบด้วยผมดำขลับนุ่มสลวย คิ้วเรียวโค้งได้รูปดั่งคันธนูเป็นระเบียบเหนือดวงตาเรียวสีน้ำตาล จมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากบางกระจับสีระเรื่อและคางมน
“ขอบคุณค่ะคุณป้าจูเลีย”
“มาๆ นั่งก่อนทั้งสองคน” ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ผายมือไปที่โซฟาอีกตัวด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ การมาของชมพูนุชกับรดาดาวในวันนี้ไม่ใช่แค่การมาเยี่ยมเยือนตามปกติเฉกเช่นคนรู้จักกันธรรมดาทั่วไป แต่มีนัยแฝงถึงการดูตัวระหว่างลูกชายของเธอกับรดาดาว ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันอาจจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยที่สุดในสังคมอเมริกัน และผู้เป็นลูกชายจะต่อต้านเต็มที่ก็ตาม แต่มาดามแทลลีย์ก็ยังยืนกรานจะเดินหน้าทำตามความคิดของตัวเอง เพราะการที่ได้สนิทสนมกับชมพูนุชซึ่งเป็นภรรยาของเพื่อนสามี ทำให้เธอหลงรักเสน่ห์ความเป็นไทยจนอยากได้ลูกสะใภ้คนไทยที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อย เก่งการบ้านการเรือนทุกอย่างเหมือนชมพูนุช และรดาดาวก็คือหญิงสาวที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ
“คุณอาเธอร์ยังไม่กลับจากเอธิโอเปียเหรอคะ” ชมพูนุชไถ่ถามถึงสามีของจูเลียตามประสาคนคุ้นเคย
“ยังไม่กลับจ้ะซาร่า ตอนนี้ฉันก็เลยอยู่กับเอเดนสองคน แต่เอเดนยังไม่กลับมา สงสัยจะยังเคลียร์งานไม่เสร็จ รอพี่เขาหน่อยนะหนูนิ่ม”ประโยคสุดท้ายมาดามแทลลีย์หันมาทางว่าที่ลูกสะใภ้ ยังผลให้พวงแก้มใสๆ ของรดาดาวกลายเป็นสีแดงระเรื่ออย่างอดที่จะกระดากไม่ได้ เพราะตนเองเป็นฝ่ายหญิงแท้ๆ แต่กลับมาเสนอให้ฝ่ายชายดูตัวก่อน
“ค่ะคุณป้าจูเลีย” เสียงหวานใสรับคำเบาๆ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงเพื่อปิดบังความเขินอายของตัวเอง การมาคฤหาสน์โกลเดนกรีนในครั้งนี้ จะว่าถูกบังคับก็ไม่ใช่ จะว่าเต็มใจก็ไม่เชิง หากด้วยความเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายรดาดาวจึงยอมทำตามความต้องการของผู้ใหญ่โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เมื่อชมพูนุชอาสาวซึ่งมีบุญคุณต่อครอบครัวเห็นสมควรว่า ‘เอเดน แทลลีย์’ ลูกชายคนเดียวของมาดามแทลลีย์เหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของเธอ รดาดาวก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่เพื่อให้เขาดูตัว ถึงแม้ลึกๆ จะอดรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่น้อย เพราะการกระทำเช่นนี้ผิดกับวิสัยกุลสตรีที่ดีที่แม่และยายพร่ำสอนมาโดยตลอดก็ตาม
ยายของรดาดาวมาจากตระกูลผู้ดีเก่า เคยเป็นข้าราชบริพารในวัง ตอนหลังได้พบรักกับทหารมหาดเล็ก จึงออกมาแต่งงานและสร้างครอบครัว มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนคือ ‘รจนา’ ซึ่งเป็นแม่ของรดาดาว แต่โชคร้ายที่ตาเสียชีวิตไปในขณะที่แม่ของเธออายุเพียงสองขวบหลังจากนั้นผู้เป็นยายจึงต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านเดิมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหาเลี้ยงลูกสาวด้วยการทำขนมขาย
ฐานะครอบครัวดีขึ้นตอนที่แม่ของรดาดาวแต่งงานกับพ่อของเธอซึ่งเป็นข้าราชการครู แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายอะไรมากนัก เพราะพ่อต้องเลี้ยงคนในครอบครัวถึงห้าคนคือยาย แม่ รดาดาวและน้องๆ อีกสองคน เมื่อรดาดาวและน้องๆ เข้าสู่วัยเรียน เงินเดือนของข้าราชการก็ไม่พอใช้ กระทั่งชมพูนุชผู้เป็นอาที่แต่งงานกับมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน อาสาเข้ามาช่วยส่งเสียรดาดาวและน้องๆ แถมยังออกค่ารักษาพยาบาลให้ยายของเธอเป็นประจำทุกเดือนอีกด้วย ครอบครัวของรดาดาวจึงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งยายและแม่พร่ำสอนเสมอว่าให้รักและเคารพชมพูนุชเสมือนเป็นแม่คนที่สอง
“ดิฉันเอาขนมมาฝากคุณจูเลียด้วยนะคะ ฝีมือของน้องนิ่มค่ะ รายนี้ทำอาหารและขนมอร่อยทุกอย่าง คงได้วิชาจากยายของเขา” ชมพูนุชบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและภูมิใจในตัวหลานสาวไม่น้อย
“ขนมอะไรเหรอหนูนิ่ม” จูเลียหันไปถามคนทำ
“เป็นขนมชั้นสูตรชาววังของไทยค่ะคุณป้าจูเลีย” รดาดาวตอบพร้อมกับหยิบเอากล่องพลาสติกออกมาจากตะกร้าที่ถือติดมือมาด้วย ก่อนจะเปิดฝาให้เจ้าของคฤหาสน์ดู ในนั้นเป็นขนมชั้นสีเขียว สีชมพู และสีม่วง ซึ่งถูกตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมมาเรียบร้อยแล้ว กลิ่นกะทิหอมๆ โชยมาเตะจมูกของจูเลียจนอยากจะลิ้มลองรสชาติของมันขึ้นมาทันควัน
“หน้าตาน่ากินมาก ป้าขอชิมเลยก็แล้วกัน”
มาดามแทลลีย์สั่นกระดิ่งเรียกคนรับใช้ ไม่กี่อึดใจสาวใช้ก็เข้ามารับเอากล่องขนมไปแบ่งจัดใส่จานมาให้ จูเลียใช้ส้อมจิ้มขนมชิ้นแรกเข้าปาก ความเหนียวนุ่มและรสชาติหอมหวานถูกใจมากจนต้องจิ้มคำต่อไปอีกอีกเรื่อยๆ และขนมในจานก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
“อร่อยจริงๆ หนูนิ่ม อยากกินอีก แต่ต้องเก็บไว้ให้เอเดนชิมด้วย” จูเลียชมเปาะทันทีหลังจากยกน้ำขึ้นดื่มด้วยความรู้สึกที่ถูกใจสาวน้อยว่าที่สะใภ้ยิ่งกว่าเดิม
“ขอบคุณค่ะคุณป้าจูเลีย นิ่มดีใจที่คุณป้าชอบ”
“ไว้วันหลังดิฉันจะลองให้น้องนิ่มทำขนมอื่นมาให้ลองชิมบ้างนะคะ” อาสาวของรดาดาวบอกกับเจ้าของคฤหาสน์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอาสิ มาเยี่ยมป้าบ่อยๆ นะหนูนิ่ม หรือถ้าสะดวกจะมาสอนป้าทำขนมพวกนี้บ้างก็ได้”
“ค่ะคุณป้า” เสียงหวานรับคำและคลายใจไม่น้อยเมื่อมาดามแทลลีย์มีท่าทางเอ็นดูและวางตัวเป็นกันเองกับเธอ แต่ลูกชายของมาดามนี่สิจะเป็นยังไง จะใจดีและเป็นกันเองอย่างผู้เป็นแม่หรือเปล่า พลันสายตาของสาวน้อยก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายที่ถูกแขวนไว้บนฝาผนัง ใบหน้าของคนในภาพหล่อเหลาสะดุดตาอย่างร้ายกาจชนิดที่เรียกได้ว่าใครได้เห็นก็ต้องมองซ้ำ ดวงตาสีฟ้าฉายประกายเฉียบคมคู่นั้นคล้ายกำลังจับจ้องมองมาที่เธอ ทำให้หัวใจของรดาดาวเต้นแรงระรัวราวกับมีคนโหมมโหรีวงใหญ่ขึ้นมาทันที
รดาดาวรีบกะพริบตาถี่ๆ พยายามควบคุมสติไม่ให้ฟุ้งซ่าน บอกตัวเองว่าอีกไม่กี่นาทีก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาแล้ว ถ้าเธอแสดงอาการตื่นเต้นให้เขาเห็นอาจจะกลายเป็นตัวตลกจนถูกหัวเราะเยาะเอาได้
ในขณะเดียวกันที่ด้านนอกของคฤหาสน์โกลเดนกรีน เฟอร์รารี่ 458 สเปเชียล สีแดงสด กำลังแล่นเข้ามาจอดอย่างโฉบเฉี่ยวราวกับม้าลำพองตามนิสัยของคนขับซึ่งมีความสูงหกฟุตสามนิ้ว ผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าหล่อจัดประกอบด้วย คิ้วหนาเข้ม นัยน์ตาสีฟ้า จมูกโด่งเป็นสันรับด้วยริมฝีปากหยักได้รูป ไม่บางหรือหนาจนเกินไป ตามแนวสันกรามมีไรเคราขึ้นเป็นแนวจางๆ
ทันทีที่บอดี้การ์ดก้าวเข้ามาเพื่อนำรถไปจอดในโรงรถ ร่างสูงในชุดกางเกงสแล็กแบรนด์ดัง เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับถึงข้อศอกก็ก้าวลงจากรถอย่างมาดมั่น สาวๆ ทั่วทั้งอเมริการู้จักเขาดีเพราะ ‘เอเดน แทลลีย์’ โด่งดังไม่แพ้ดาราฮอลลีวูดคนไหน เขาจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างฮาร์วาร์ด ใครๆ ก็บอกว่าเขาเหมาะจะเป็นมาเฟียหรือเจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามมากกว่าหมอ เพราะมีนิสัยใจร้อนเป็นไฟ ห่าม โหด ดุดัน แถมเรื่องบนเตียงยังเลื่องชื่อลือชาและทำให้ผู้หญิงที่ขึ้นเตียงด้วยดิ้นพล่านได้เสมอ แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผู้ชายอย่างเอเดนมีอะไรให้ทึ่งได้เสมอด้วยการเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลชื่อดัง จากนั้นก็ลาออกมาบริหารงานของตัวเองและก้าวขึ้นเป็นประธานโกลเดนกรีนกรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องมือแพทย์และไบโอดีเซลยักษ์ใหญ่ของอเมริกาด้วยวัยเพียงสามสิบสองปีเท่านั้น โดยล่าสุดก็เพิ่งจะเข้าไปเป็นเจ้าของสโมสรอเมริกันฟุตบอลชื่อดังในนิวยอร์ก
คิ้วเข้มเหนือดวงตาที่บ่งบอกความทะนงตน ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ก่อนหน้าที่เขาจะมาถึง
“ใครมาเหรอเบนจามิน” เสียงห้าวทุ้มน่าฟังเอ่ยถามพ่อบ้านที่ออกมาคอยต้อนรับอยู่หน้าคฤหาสน์เช่นเดียวกับทุกวัน
“คุณซาร่าเพื่อนของมาดามครับคุณเอเดน”
“อืม”
เอเดนพยักหน้าน้อยๆ แล้วก้าวยาวๆ เข้าไปในคฤหาสน์ ตรงไปยังห้องรับแขกทันที และเมื่อไปถึงก็เห็นว่าในห้องนั้นไม่ได้มีแค่ชมพูนุชกับแม่ของเขาอยู่กันตามลำพัง ซึ่งเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคิดอยู่แล้วว่ามาดามแทลลีย์ต้องมาไม้นี้ แต่ก็ช่างเถอะปัญหาเล็กๆ ขี้ประติ๋วแค่นี้เขารับมือได้สบายๆ อยู่แล้ว รับรองได้เลยว่าแม่สาวน้อยหน้าจืดที่นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่บนโซฟารับแขกนั่นจะต้องเก็บข้าวของกลับประเทศตัวเองแทบไม่ทัน!
“มาแล้วเหรอเอเดน มารู้จักกับหลานสาวของน้าซาร่าสิ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเชียว แถมยังทำขนมอร่อยด้วยนะ” มาดามแทลลีย์ตรงเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อมหลังจากลูกชายคนเดียวทรุดตัวนั่งลงที่โซฟา
“ครับแม่”
“น้องชื่อรดาดาว ลูกจะเรียกว่านิ่มก็ได้นะ” คนเป็นแม่แนะนำอย่างกระตือรือร้น
“สวัสดีค่ะ”
เสียงหวานใสดังขึ้นให้เอเดนได้ยินเป็นครั้งแรก เธอไม่ได้ยื่นมือมาให้เขาจับอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับยกมือขึ้นไหว้ด้วยกิริยานอบน้อม แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา และนั่นทำให้สายตาเฉียบคมของเอเดนต้องทำการพิจารณาเครื่องหน้าของสาวน้อยที่วางท่าหวงเนื้อหวงตัวอย่างช่วยไม่ได้ ปากนิดจมูกหน่อยนั่นน่ามองดี ริมฝีปากสีระเรื่อก็น่าจะนุ่มและตอบสนองได้ดีทีเดียวเวลาที่ถูกผู้ชายจูบ แถมตอนนี้ดวงตาเรียวหวานของเธอกำลังไหวระริกคล้ายกับนางเนื้อระแวงภัย ทว่าก็เร้าอารมณ์บางอย่างของเขาเชียวล่ะ ไม่ได้จืดชืดไร้ความรู้สึกเหมือนที่เขาประเมินไว้ตอนแรก
“ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม” ผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นในประโยคซึ่งทำให้คนที่นั่งลุ้นอยู่ต้องหูผึ่งไปตามๆ กันก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปโดยไม่รอคำตอบ
“เอ่อ...” รดาดาวทำท่าเงอะงะ ได้แต่หันไปมองผู้เป็นอาอย่างขอความช่วยเหลือ ซึ่งอาสาวของเธอก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกว่าให้ตามเขาไป
“ไปเถอะหนูนิ่ม เอเดนไม่ดุหรอก จะได้คุยกันเป็นการส่วนตัวและรู้จักกันมากขึ้นด้วย” มาดามแทลลีย์สนับสนุนอีกคน ทำให้รดาดาวต้องลุกขึ้นแล้วเดินตามร่างสูงองอาจที่ก้าวออกไปก่อนหน้านี้แล้ว
เอเดนยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่กลางสนามหญ้าในสวนหย่อมของคฤหาสน์ แสงแดดสีส้มยามเย็นระบายร่างสูงตระหง่านให้ดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิม สาวน้อยเกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาโดยพลัน แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าก้าวไปหาเขา และแม้เสียงฝีเท้าของรดาดาวจะเบามาก เอเดนก็หันมาทันทีที่เธอเดินไปหยุดอยู่ด้านหลัง
“คุณมีอะไรจะคุยกับนิ่มเหรอคะ” เจ้าของเสียงหวานเป็นฝ่ายถามก่อนอย่างอ้อมแอ้ม
“เปล่า...” เอเดนยักไหล่พรืดด้วยท่าทางยียวน “ก็แค่อยากทำความรู้จักเท่านั้น”
“ค่ะ คุณอยากรู้อะไรคะ”