บทที่ 9 ถูกบังคับให้กลับบ้าน
บทที่ 9 ถูกบังคับให้กลับบ้าน
“แก!!!”
จิ่งหนิงทำให้จิ่งเซี่ยวเต๋อโมโหมาก “ฉันถามว่าจะกลับหรือไม่กลับ?”
“ไม่กลับ!”
“ดี!ดีมาก!แกพูดเองนะ ถ้าคุณย่าลงมือขึ้นมาคงไม่มีใครช่วยได้”
จิ่งเซี่ยวเต๋อรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต่อปากต่อคำกับท่าทีของลูกสาวที่เย็นชาแบบนั้นได้จึงได้วางสายลง
จิ่งหนิงหัวเราะและไม่อยากไปใส่ใจอีก จึงได้เก็บมือถือลงและกินข้าวต่อ
อีกด้านหนึ่ง หวังเสว่เหมยนั่งอยู่ในห้องอาหาร เมื่อมองเห็นจิ่งเซี่ยวเต๋อโมโหเดินฟึดฟัดกลับมาก็ขมวดคิ้วถามว่า
“เป็นอะไรไปเหรอ?บอกเธอหรือยัง?เธอจะกลับมาไหม?”
จิ่งเซี่ยวเต๋อพูดออกมาว่า “ผมจะมีปัญญาไปบังคับเธอได้อย่างไรครับ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เธอปีกกล้าขาแข็ง ถ้าไม่ส่งคนไปเชิญกลับมาก็คงไม่มาหรอก”
หวังเสว่เหมยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เธอวางตะเกียบและตบมือลงไปบนโต๊ะ
“ไร้สาระสิ้นดี!”
คนที่นั่งอยู่ในห้องอาหารก็พากันตกอกตกใจ นับจากที่นายท่านได้จากไปแล้วหวังเสว่เหมยก็เป็นคนจัดการทุกอย่างในตระกูลจิ่ง จากหลายปีที่ผ่านมา บารมีที่สะสมไว้ทุกคนล้วนเกรงกลัวเธอ
หยูซิ่วเหลียนรีบส่งสายตาให้จิ่งเสี่ยวหย่าที่นั่งอยู่ตรงข้าม
จิ่งเสี่ยวหย่าลุกขึ้นเดินไปที่หญิงชราแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณย่าคะ อย่าอารมณ์เสียเลยค่ะ สุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ”
หยูซิ่วเหลียนก็พูดเสริมท้ายว่า “นั่นสิคะ ในเมื่อจิ่งหนิงไม่อยากกลับมาก็อย่าไปบังคับเธอเลย เรื่องนี้พวกเราค่อยหาวิธีต่อไป ท่านอย่าได้โมโหไปเลย”
หวังเสว่เหมยยิ้มเยาะออกมาแล้วพูดว่า “นี่มันตลกชัดๆ นังเด็กนั่นบอกว่าไม่กลับก็คือไม่กลับเหรอ?วันนี้ฉันจะต้องลากตัวกลับมาให้ได้ อยากจะรู้จริงๆว่าจะปีกกล้าขาแข็งไปถึงไหน!”
พูดจบก็กวักมือให้พ่อบ้านหวังเดินมา
“พ่อฝูไปสืบมาว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน จากนั้นส่งคนไปบอกเธอว่าภายในวันนี้ถ้าเธอไม่กลับมา ของทุกอย่างที่แม่ของเธอเหลือไว้ในบ้านนี้ฉันจะเผาทิ้งให้หมด อย่าหวังว่าจะได้ไปแม้แต่ชิ้นเดียว!”
พ่อฝูหน้าก้มตาแล้วรีบตอบกลับว่า “ครับนายหญิง”
......
ในตอนเย็น เมื่อจิ่งหนิงจัดการกับออเดอร์สุดท้ายได้แล้ว เธอก็เตรียมตัวปิดร้านเลิกงาน
คาดไม่ถึงว่าเมื่อเธอเพิ่งเดินออกจากร้านก็เจอพ่อฝูยืนอยู่ที่นั่น
เขาเป็นพ่อบ้านให้ตระกูลจิ่งมานับสิบปี จิ่งหนิงจึงรู้จักเขาอย่างดี
ก่อนหน้าที่หยูซิ่วเหลียนและจิ่งเสี่ยวหย่ายังไม่ได้เหยียบเข้ามาในบ้านนี้ เธอกับพ่อบ้านหวังสนิทสนมกันมากทีเดียว แม้ตอนนี้จะไม่ได้สนิทกันมากนักแต่ก็ยังให้ความเคารพนับถือ
“คุณหนูใหญ่เลิกงานแล้วเหรอครับ?”
พ่อฝูเดินเข้ามา จิ่งหนิงหยิบกุญแจไว้ในมือและมองไปที่เขา
“พ่อบ้านหวังไม่เจอกันตั้งนานนะคะ”
“ครับ ไม่เจอกันตั้งนาน คุณหนูโตเป็นสาวสวยมากเลยทีเดียว ถ้าคุณนายยังอยู่ก็คงจะดีใจมาก”
จิ่งหนิงยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าแม่ฉันยังอยู่ คุณจะเข้าข้างแม่ฉันไหมหรือจะเข้าข้างหยูซิ่วเหลียนกัน?”
พ่อฝูไม่คิดว่าเธอจะถามคำถามนี้ออกมา เขานิ่งเงียบไปชั่วๆ
จิ่งหนิงรู้สึกได้ว่ากำลังทำให้เขาอึดอัดจึงได้ยิ้มและพูดต่อไปว่า “ล้อเล่นค่ะ อย่าจริงจัง”
พ่อฝูยิ้มแห้งๆ
“พ่อบ้านหวังมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ?”
พ่อฝูรีบพูดขึ้นว่า “นายหญิง ให้ผมมารับคุณกลับบ้าน”
จิ่งหนิงมองไปด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วพูดว่า “จิ่งเซี่ยวเต๋อไม่ได้ก็บอกกับพวกคุณหรือว่าฉันไม่กลับ?”
“บอกแล้วครับ เพียงแต่นายหญิงบอกว่าถ้าคุณหนูไม่กลับไป จะจัดการกับของที่คุณแม่คุณหนูทิ้งไว้ให้หมด”
พ่อฝูพูดออกมา จิ่งหนิงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
สีหน้าเธอเคร่งขรึมลงแล้วถามว่า “เธอจะทำอะไรเหรอคะ?”
พ่อฝูท่าทางอึดอัดใจ
เมื่อคิดอยู่ชั่วครู่เขาก็เอ่ยปากพูดไปอย่างขมขื่นว่า “คุณหนูใหญ่ครับ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาคุณหนูถูกเขาข่มเหงไม่น้อย เพียงแค่อาหารมื้อเดียว ของที่คุณนายเหลือไว้ก็มีไม่มาก อย่ารอให้สูญเสียไปแล้วจะเสียใจทีหลังนะครับ”
สีหน้าของจิ่งหนิงตึงเครียด
เธอนิ่งไปเนิ่นนาน สุดท้ายกำมือแน่นแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อพ่อฝูเห็นว่าเธอตอบตกลงก็ถอนหายใจออกมา
เขาโค้งตัวแล้วเปิดประตูรถพูดว่า “เชิญคุณหนูขึ้นรถครับ”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไร เธอเดินขึ้นรถไป
ผ่านไป 20 นาทีรถคันหนึ่งก็ขับเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลจิ่ง
คฤหาสน์ตั้งอยู่ในพื้นที่ อันมีชื่อเสียงของเมืองจิ้น ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม
เธอลงจากรถและเดินเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเย็นชา
ภายในห้องรับแขกหยูซิ่วเหลียนกำลังเลือกชุดที่จะใส่ไปในงานวันเกิดให้กับจิ่งเสี่ยวหย่า
สำหรับจิ่งเสี่ยวหย่าที่จะเป็นตัวเอกในงานวันเกิดและงานประกาศความสัมพันธ์นั้น นี่เป็นอีกหนึ่งวันที่สำคัญที่สุดของเธอ ไม่เพียงเป็นแค่เพียงงานเลี้ยงวันเกิดอีกทั้งยังเป็นวันหมั้นของเธอและมู่ยั่นเจ๋อด้วย
หลังจากการประชุมเมื่อตอนกลางวัน หวังเสว่เหมยก็รีบให้พวกเขาซักเสื้อผ้าและจองสถานที่
เนื่องจากในตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่สองวัน หากจะสั่งตัดใหม่คงไม่ทัน
ยังดีที่เป็นเพียงแค่งานวันเกิดซึ่งใช้ประกาศการหมั้นหมายระหว่างเธอและมู่ยั่นเจ๋ออย่างเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ส่วนคนภายนอกจะเข้าใจว่าเธอและมู่ยั่นเจ๋อได้หมั้นหมายกันมานานแล้วจึงไม่จำเป็นจะต้องแต่งตัวให้หรูหราเกินเหตุ
เธอเลือกชุดอยู่กว่าครึ่งวันในที่สุดก็ได้ชุดที่ถูกใจ
ในวันพรุ่งนี้จะมีคนส่งชุดมาให้ลองที่บ้าน
ทั้งสองคนกำลังปรึกษาหารือกันด้วยท่าทางดีใจ ทันใดนั้นเสียงประตูก็ดังขึ้น
เมื่อเงยหน้าก็พบว่าจิ่งหนิงเดินเข้ามาด้านใน
เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำรัดรูป เผยให้เห็นขาเรียวงาม สวมเสื้อคลุมสีเบจ ผมลอนสลวยประบ่า มองไปแล้วช่างมีเสน่ห์และเยือกเย็น
จิ่งเสี่ยวหย่ามองไปที่เธอแล้วรู้สึกอิจฉา
เธอไม่ชอบท่าทางโดดเด่นเช่นนี้ของจิ่งหนิงจริงๆ
ก็แค่เจ้าของร้านขายของใช้ผู้ใหญ่ ใส่ชุดอย่างกับเป็นคนในวงการ ใบหน้าที่เย็นชาของเธอนั้น ทำให้คนที่พบเห็นคิดว่าเธอสูงส่งขนาดไหน
แต่เมื่อนึกถึงอาชีพของเธอ จิ่งเสี่ยวหย่าก็รู้สึกสะใจ
แกล้งทำเป็นประเสริฐเลิศล้นแล้วยังไงล่ะ? เอามาเทียบกันไม่ได้อยู่ดี!
เธอเป็นถึงคุรหนูตระกูลจิ่งและดอกไม้แห่งวงการบันเทิง ส่วนจิ่งหนิงล่ะ?
เป็นเพียงเด็กสาวที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ต่อให้มีความสามารถแล้วยังไงล่ะ งานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้มั่นคง
สุดท้ายแล้วจึงต้องมาเช่าร้านขนาดเพียง 10 ตารางเมตร ขายของใช้ผู้ใหญ่
เมื่อคิดได้ดังนี้ จิ่งเสี่ยวหย่าก็สะใจเป็นที่สุด เธอยืดอกแล้วเดินตรงไปที่จิ่งหนิงพูดว่า
“พี่คะ มาแล้วเหรอ?”
หยูซิ่วเหลียนก็รีบเดินตามมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเยอะเย้ย
“จิ่งหนิงมานั่งเร็วเข้า ป้าเฉินยกน้ำมาให้คุณหนูใหญ่เร็ว”
บ่าวรับใช้รีบยกน้ำออกมา เพียงแต่เมื่อเธอมองไปที่ป้าเฉินสายตานั้นแฝงไปด้วยความดูถูกเล็กน้อย
จิ่งหนิงเองไม่อยากจะไปใส่ใจ จึงพูดขึ้นว่า “เรียกฉันมามีธุระอะไร?”
หยูซิ่วเหลียนชะงักลงเล็กน้อย
จิ่งเสี่ยวหย่าเห็นดังนั้นก็รีบเดินหน้าขึ้นไปกอดแขนเธอแล้วพูดว่า “พี่คะ จะรีบร้อนไปไหนล่ะ?กลับบ้านทั้งทีกินข้าวก่อนแล้วค่อยพูดกันสิคะ พวกเราไม่ได้นั่งคุยกันตั้งนานแล้ว นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ ไปที่ห้องฉันก่อนไหมพวกเราคุยกันสักพักดีไหมคะ?”
จิ่งหนิงมองไปที่เธอแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“คุยเหรอ?เรามีเรื่องอะไรต้องคุยกัน เรื่องที่เธออ่อยผู้ชายอย่างนั้นเหรอ?ขอโทษนะฉันไม่สนใจเรื่องคนมารยาเหล่านั้นหรอก แล้วก็คงเรียนไม่เป็น”