บทที่1 คลุมถุงชน
ที่กรุงเทพมหานคร
ณ.มหาวิทยาลัยชื่อดัง
“เย้ /เย้ /เย้..” สามสาวสวยต่างไซร์ต่างสไตส์แต่เป็นเพื่อนซี้ที่เรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังมาด้วยกันสี่ปีส่งเสียงร้องดังขึ้นหลังจากที่สอบเสร็จจบการศึกษาปีสุดท้ายและพวกเธอก็เรียนจบกันแล้ว
“โอ้ย..ยากที่สุดเลยอ่ะ พิชชาเกือบจะทำไม่ได้น่ะ” พิชชา หรือ สุพิชา พรไพศาล สาวโคราชนัยน์ตาคมผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวยร่างเล็กแต่อวบอิ่มไปทุกสัดส่วนชอบใสเสื้อผ้ารุ่มร่ามเหมือนป้าแก่แต่ยังมีหนุ่มๆรุ่นพี่รุ่นน้องมาตามจีบเธอแต่เวลาอยู่นอกมหาวิทยาลัยหรือไปเที่ยวกับเพื่อนๆเธอก็แต่งตัววัยรุ่นทันสมัยเหมือนกับเพื่อนสาวทั้งสองคนของเธอ
“นี่ยัยพิชชาแกอย่าถล่มตัวจะคว้าเกียรตินิยมไปครองอยู่แล้วนะยะ” หนูลี หรือ ปณาลี วรโชติเมธี คุณหนูไฮโซคนสวยหุ่นนางแบบที่คุณแม่ชอบพาลูกสาวไปอวดเพื่อนๆไฮโซของท่านเป็นประจำและยังแอบจับคู่ให้ลูกสาวอีกด้วยถึงเธอจะปากร้ายแต่ใจดีรักเพื่อนที่เธอเคยเชิดใส่ตอนเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งเพราะอิจฉาความกล้าแสดงออกของสุพิชชาในวันรับน้องที่รุ่นพี่ให้ทำท่าตลกหรือบอกให้ทำอะไรสุพิชชาก็ทำหมดและยังมีน้ำใจกับเพื่อนๆทุกคนทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกันจนทำเธอเปลี่ยนความคิดจากที่ไม่ชอบและหมั่นใส้กลายมาเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงเรียนจบกัน
“ขนาดพัชรโคตรตั้งใจเรียนยังไม่ได้เลย อิจฉาอ่ะคนอะไรทั้งสวยทั้งเก่งแถมเซ็กซี่อีกด้วยครบเครื่องเลยนะเพื่อนฉัน” พัชร หรือ กนกพัชร จิตติรัตน์ สาวสวยร่างอวบไปนิดแต่เธอเป็นคนน่ารักชอบทำนั่นทำนี่ให้เพื่อนๆกินอยู่บ่อยๆจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเธอถึงอวบและที่บ้านทางเมืองกาญจนบุรีของเธอส่งอาหารมาให้ลูกสาวทุกอาทิตย์จึงทำให้สุพิชชากับปณาลีพลอยได้ลาภปากไปด้วย
“แค่เรียนจบหนูลีก็ดีใจแล้วไม่งั้นคุณแม่ได้อายเพื่อนๆแน่ คิกกๆ..” คุณหนูไฮโซพูดแล้วก็หัวเราะเมื่อพูดถึงคุณแม่ของเธอ
“แล้วพวกเราจะไปฉลองกันที่ไหนดีล่ะ พัชรเก็บกดมานานแล้วนะเพื่อนรัก” กนกพัชรปรึกษาสองเพื่อนรักที่ติวหนังสือหนักกันมาทั้งเดือนก่อนสอบเพื่อจะได้เกรดเฉลี่ยสวยๆกันตอนจบ
“เดี๋ยวฉันถามน้องชายก่อนนะ ว่าเราจะไปที่ไหนกันดี” ปนาลีตอบเพื่อนเพราะน้องชายของเธอก็จะไปด้วยทุกครั้งตามคำสั่งของคุณแม่ที่ไม่อยากให้ลูกสาวและเพื่อนไปเที่ยวกันตามลำพัง ศิระ หรือ นายระน้องชายของหนูลีที่อ่อนกว่าพี่สาวแค่ปีเดียวที่ชอบไปนั่งดูสาวๆมากกว่าไปเฝ้าพี่สาวกับเพื่อนเด็กหนุ่มจึงเหมือนเพื่อนในกลุ่มอีกคนของสามสาว
“โอเคเลยจ้ะยัยคุณหนูลี แต่ตอนนี้พัชรหิวอ่ะพวกแก” กนกพัชรบอกเพื่อนแล้วทำหน้าละห้อยอย่างน่าสงสารแต่เป็นที่หมั่นใส้ของเพื่อน
“นี่ยัยพัชรแกจะไม่ให้ท้องแกว่างเลยใช่ไหม นิ่งเป็นหลับขยับเมื่อไหร่นี่กินตลอดดูสิพุงพิชาออกแล้วนะ” สุพิชชาว่าเพื่อนที่ขยันหิวและพากันไปกินจนเธอเริ่มจะอ้วนขึ้นแล้วนะ
“ต้าย, ช่างกล้าพูดนะยะ พัชรว่าแกอ้วนอยู่ที่เดียวนี่แหละ คิกกๆๆ..” กนกพัชรไม่พูดเปล่าๆเอานิ้วจิ้มไปที่อกอวบอิ่มกลมกลึงของพิชชาจนเธอสะดุ้ง
“อุ้ย, ยัยพัชรบ้า จิ้มมาได้ตกใจหมด” สุพิชชาหน้าแดงขึ้นทันทีหันซ้ายหันขวากลัวจะมีคนเห็น
“คิกๆ คิกๆๆ...” ปนาลีกับกนกพัชรหัวเราะขึ้นพร้อมกันขำสุพิชชา
“จะกินข้าวกันมั้ยล่ะ หรือพวกแกหัวเราะกันอิ่มแล้วล่ะฮ้า” สุพิชาพูดเสียงดังแก้เขิน
“ไปจ้ะไป นี่แกแค่โดนจิ้มอึ๋มนะพิชชาถ้าโดนจิ้ม...ล่ะแกเอ้ยไม่อยากคิด คิกๆคิกๆ” ปนาลีพูดจบทั้งสามก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันและเดินเกาะกลุ่มกันไปร้านกาแฟและเบเกอรี่เล็กๆข้างมหาลัยที่พวกเธอจะไปนั่งกันเป็นประจำเกือบทุกวันจนสนิทกับพี่เจ้าของร้านแล้วต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
“แกจบแล้วจะทำอะไรต่อพิชชา” กนกพัชรถามเพื่อนสาวที่กำลังขับรถอยู่เพราะเธอและสุพิชชาพักห้องเดียวกันในคอนโดระดับกลางและแชร์ค่าห้องกันจึงสลับกันขับรถไปเรียน
“พิชชายื่นไปสมัครไปที่บริษัท Y&S แล้วแกล่ะจะกลับเมืองกาญเลยหรือเปล่า” สุพิชชาถามเพื่อนเพราะที่บ้านของกนกพัชรอยากให้กลับไปช่วยพี่ชายดูแลรีสอร์ทและเรือนแพริมแม่น้ำแควแต่กนกพัชรยังไม่อยากกลับเหมือนกับเธอนั่นแหละ(Y&S บริษัท วาย แอนด์ เอส ออโต้พาร์ท (ไทยแลนด์)จำกัด มหาชน
“ยังหรอกแก พัชรอยากหาประสบการณ์ก่อนสักสองสามปีก่อนน่ะ แล้วค่อยคิดอีกทีตอนนี้พี่ไก่ก็ดูแลคนเดียวได้ หรือไปสมัครที่เดียวกับแกดีล่ะ” กนกพัชรคิดได้ว่าเธอลืมไปได้อย่างไรนะก็พวกเธอไปฝึกงานกันอยู่ที่นั่นน่ะสิแต่ถ้าไม่ได้คุณแม่แสนใจดีของปนาลีพวกเธอคงไม่ได้ไปฝึกงานบริษัทยักษ์ใหญ่แบบนั้นได้หรอก
“ก็ดีสิ งั้นแกรีบไปยื่นไปสมัครเลยพรุ่งนี้พิชชาไปส่งตกลงนะ” พิชชาก็อยากให้เพื่อนไปทำด้วยกันแต่ปนาลีไม่ชอบงานนั่งอยู่กับที่เธอชอบงานลุยๆมากกว่าจึงทำให้ขัดแย้งกับคุณแม่เลยยังไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหน
“โอเค งั้นวันนี้เรากลับไปนอนเอาแรงดีกว่าเนาะจะได้เตรียมตัวให้พร้อมไปสมัครงานวันพรุ่งนี้” กนกพัชรบอกเพื่อนที่มีหน้าที่ขับรถจนถึงคอนโดของพวกเธอทั้งสองสาวก็พากันขึ้นไปบนห้องที่เช่าอยู่ร่วมกันมาจะสี่ปีแล้ว
สุพิชชาอาบน้ำอยู่เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแว่วๆจึงรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพราะมันดังถี่มากคนโทรคงจะมีธุระด่วนจริงๆ
“มาแล้วใครกันนะ อ้าว ยัยวดีนี่นามีอะไรนะถึงโทรมาตั้งหลายรอบน่ะ” พิชชาบ่นออกมาจากห้องน้ำและรีบโทรหาน้องสาวทันที วดี หรือ สุภาวดี พรไพศาล ลูกสาวคนเล็กของคุณชนัตกับคุณสุภัสสร พรไพศาล เจ้าของกิจการอู่ต่อรถทัวร์รายใหญ่ในภาคอีสานทั้งหมดและบริษัทเดินนรถสายอีสานฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐีถึงแม้ไม่ติดอันดับแต่มีทรัพย์สินหลักพันล้านทั้งคู่มีลูกสาวสามคนแต่ไม่มีลูกชายสืบสกุลเลยสักคน ลูกสาวคนโต ศรา หรือ สุพิศรา หลังเรียนจบเธอก็เข้าไปช่วยงานคุณพ่อเต็มตัว คนรอง พิชชา หรือ สุพิชชา เพิ่งเรียนจบ คนเล็กสุด วดี หรือ สุภาวดี พึ่งเรียนอยู่ปีสองที่เชียงใหม่และตอนนี้เธอก็ถูกไข้หวัดเล่นงานอยู่
“ว่าไงยัยวดีเป็นอะไรหรือเปล่า” สุพิชชาโทรหาน้องสาวและถามน้องสาว
“วดีเป็นไข้ค่ะ นอนอยู่โรงพยาบาลแต่ไม่อยากโทรบอกพ่อกับแม่ค่ะกลัวท่านจะเป็นห่วงเลยโทรมาหาพี่พิชชาค่ะ” สุภาวดีตอบพี่สาวด้วยเสียงแหบแห้งเพระเจ็บคอ
“แล้วทำไมเพิ่งโทรมาบอกพี่ล่ะ เดี๋ยวพี่จะจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าก่อนนะแล้วพรุ่งนี้เช้าพี่จะไปเที่ยวบินเช้าเลยนะ” สุพิชชาบอกน้องสาวอย่างเป็นห่วง
“ค่ะพี่พิชชา ขอบคุณนะคะ” สุภาวดีขอบคุณพี่สาวที่ดูแลเธอมาตลอดตั้งแต่มาเรียนที่เชียงใหม่เพราะพ่อแม่และพี่สาวคนโตก็ยุ่งกับธุรกิจที่บ้านแต่ถ้าว่างก็จะมาหาเธอหรือไม่เธอก็กลับบ้าน
“งั้นวดีพักผ่อนนะจ้ะพรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้าเลยจ้ะ” สุพิชชาวางสายจากน้องสาวแล้วเธอก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องเพื่อนรัก
“ก๊อก ก๊อก"
"พัชรนอนหรือยังจ้ะ” สุพิชชาเรียกเพื่อนที่ไม่รู้ว่าจะนอนไปแล้วหรือยัง
“ยังจ้ะ พิชชาเข้ามาเลยประตูไม่ได้ล็อค” กนกพัชรตะโกนตอบเพื่อนเพราะเธอและสุพิชชาไม่เคยล็อคประตูห้องแต่จะใช้วิธีเคาะประตูกัน
“พรุ่งนี้พิชชาคงไม่ได้ไปส่งพัชรสมัครงานแล้วล่ะ ยัยวดีป่วยนอนอยู่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่น่ะ” สุพิชชาบอกเพื่อนที่ทำหน้าตกใจ
“เฮ้ย,แล้วน้องวดีเป็นยังไงบ้างอ่ะ พัชรไปกับแกดีกว่ามั้ย” กนกพัชรถามเพื่อนที่หน้าตาเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงน้องสาว
“ไม่เป็นไรหรอกพัชร ขอบใจแกมากพิชชาไปคนเดียวได้แกจะได้ไปสมัครงานไงล่ะ” สุพิชชาไม่อยากให้เพื่อนพลาดโอกาสที่จะไปสมัครงานที่บริษัทเดียวกับเธอ
“งั้นถ้ามีอะไรก็โทรบอกพัชรนะ แกไปพักเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นเช้าอีกน่ะ” กนกพัชรบอกเพื่อนให้ไปนอนพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้
“ขอให้แกโชคดีได้งานนะพัชร ขอบใจอีกครั้งนะเพื่อนรัก ฝันดีจ้ะ” สุพิชชาบอกเพื่อนและเดินกลับไปเข้าห้องเธอเก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กที่เธอใช้สำหรับเดินทางสองสามวันเมื่อเสร็จก็รีบเข้านอนทันทีเพราะเธอต้องตื่นแต่เช้าไปสนามบิน
สุพิชชาตื่นแต่เช้าและเดินทางไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่เพราะเป็นห่วงน้องสาวถึงแม้คุณพยาบาลเฝ้าไข้จะบอกว่าอาการดีขึ้นแล้วแต่เธอก็ยังเป็นห่วงน้องสาวอยู่ดีพอถึงสนามบินเชียงใหม่ก็นั่งแท๊กซี่ไปที่โรงพยาบาลชื่อดังของเชียงใหม่ทันที
“เป็นไงบ้างยัยวดี” สุพิชชาเคาะประตูและเปิดเข้าไปแล้วถามน้องสาวทันทีด้วยความเป็นห่วง
“ดีขึ้นบ้างแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่พิชชา” สุภาวดีน้ำตาคลอเบ้าตอนนี่ร่างกายเธออ่อนแอเพราะไข้หวัดใหญ่เล่นงานจึงทำให้อยากให้คนในครอบครัวมาดูแลมากกว่าพยาบาล
“นอนพักก่อนนะพี่จะอยู่ดูแลเราจนหายเลยน่ายัยเด็กขี้แย” สุพิชชาบอกน้องสาวเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวคนเล็กขี้อ้อนยิ่งเวลาเจ็บป่วยก็ชอบอ้อนพ่อแม่และพี่ๆตลอด
“ก็วดีเหงานี่คะคิดถึงคุณพ่อคุณแม่พี่ศรานี่คะ” น้องสาวคนเล็กยังไม่เลิกอ้อนพี่สาวที่นั่งยิ้มอยู่ข้างเตียง
“งั้นก็รีบหายเราจะได้กลับบ้านพร้อมกันดีมั้ยล่ะ” สุพิชชาบอกน้องสาวที่นอนมองเธอตาแป๋ว
“ดีคะ พี่พิชชากินข้าวหรือยังคะ” สุภาวดีถามพี่สาวที่มาหาเธอแต่เช้า
“พี่ยังไม่หิวจ้ะ เดี๋ยวพี่ค่อยไปหากาแฟดื่มจ้ะ” สุพิชชาบอกน้องสาวยกมือลูบศีรษะน้องสาวอย่างรักใคร่แล้วเธอจะบอกพี่สาวดีมั้ยเนี่ยถ้ารู้ทีหลังเดี๋ยวก็จะงอนเธอกับน้องสาวอีก
“พี่พิชชาไปหาอะไรกินก่อนเถอะมีพี่พยาบาลก็อยู่ทั้งคนค่ะ” สุภาวดีบอกพี่สาวเพราะเธอกินยาเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็คงง่วงนอนแล้วล่ะ
“เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ งั้นฝากคุณพยาบาลด้วยนะคะ” คนเป็นพี่เห็นน้องสาวตาปรือเหมือนจะง่วงเธอไปหากาแฟดื่มก่อนดีกว่าถ้าเธอยังนั่งเฝ้าอยู่น้องสาวก็จะไม่ยอมนอน หญิงสาวปล่อยมือน้องสาวและลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพักฟื้นของน้องสาวและโทรหาพี่สาว