3 เพื่อนหญิงคนสนิท
ตอนที่3
เพื่อนหญิงคนสนิท
วันนี้ภูชิตตั้งใจจะพาหนูนากลับบ้านไปหาแม่ของเธอ เพื่อค่อยๆให้เธอหายคิดถึง เพราะชายหนุ่มเข้าใจดีว่าภรรยาของเขาเป็นคนอ่อนไหว
“แม่ฝากขนมไปให้กนกวรรณด้วยนะ เมื่อเช้าแม่ไปตลาดมาเจอขนมโบราณหลายอย่าง”
ภาวิณีมารดาของภูชิตเธอเป็นแม่บ้านตัวจริง ที่ชีวิตมีแต่งานบ้านดูแลลูกและสามี ส่วนเรื่องนอกบ้านต่าง ๆพ่อเลี้ยงชนินทร์ไม่เคยให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย
“ขอบคุณนะคะ” ลูกสะใภ้ยกมือไว้อย่างนอบน้อม
“คุณแม่ครับน้องล่ะ”
ภูชิตถามหาสมิตา เพราะตั้งแต่ตื่นเช้ามายังไม่เห็นน้องสาวเลย
“น้องกลับไปมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นว่ากำลังยุ่งใกล้จะจบเหลือวิจัย”
สมิตาเรียนต่อปริญญาโทสาขากฎหมาย ซึ่งเป็นสาขาที่พ่อเลี้ยงอยากให้ลูกสาวเรียนมาก ๆ และสมิตาเองก็ชอบทางด้านนี้ด้วย เพียงแต่พ่อและลูกมีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน
“ขยันจริง ๆ แต่ก็ดีครับจะได้รีบจบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ เพราะอีกหน่อยผมก็ต้องออกไปอยู่ข้างนอก”
ตั้งแต่ที่ตกลงจะแต่งงาน หนูนาเป็นคนเลือกแบบเรือนหอ แต่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันถูกปลูกที่ไหน เพราะพ่อเลี้ยงบอกว่าภูษิตขอให้เก็บเป็นความลับ จะรอให้เสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่แล้วถึงจะพาหนูนาไปทีเดียว
“เตรียมจะทิ้งแม่แล้วนะ รีบมีหลานให้แม่เร็ว ๆ เดี๋ยวยิ่งแก่ช่วยเลี้ยงไม่ไหวนะ”
เมื่อถูกพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าสาวหมาดๆก็หน้าแดงทันที ภาพบนเตียงเมื่อคืนมันผุดขึ้นมาจนเธอรู้สึกเขินตัวเอง
บ้านของทั้งสองคนอยู่ห่างกันไม่มาก ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อรถเข้ามาจอดในรั้วบ้าน หนูนามองบริเวณรอบ ๆบ้านด้วยความคิดถึง
“ไว้วันหลัง เราก็มานอนที่บ้านนี้บ้างก็ได้ กว่าบ้านเราจะเสร็จคงเป็นเดือน”
ภูษิตมองภรรยาอย่างสงสาร เธอยังเป็นเด็กน้อยในสายตาเขาเสมอ ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นสาวสวยและเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ตาม
“อะไรกันเจ้าสาวเจ้าบ่าว แทนที่จะพากันเที่ยวไหน ดันพากันกลับมาบ้าน”
กนกวรรณเดินมารับลูกสาวที่รถพร้อมรับขนมจากมือหนูนาที่แม่ของภูษิตฝากมาให้
“ขนมคุณแม่บ้านนู้นฝากมาให้ค่ะ”
“ฝากบอกภาวิณีว่าขอบใจมากนะ”
แม่ยายหันไปบอกลูกเขย ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหนูนาที่กำลังทำท่าจะร้องไห้อีกแล้ว
“ไปๆ เข้าบ้านกัน เริ่มมีคนจะดรามาแล้ว”
คนเป็นแม่รู้ทันลูกสาว จึงรีบเปลี่ยนบรรยากาศเดินเข้าไปในตัวบ้าน เพราะกลัวลูกสาวจะร้องไห้ออกมา
“ภูษิตมีอะไรก็บอกก็สอนน้องนะ แม่เลี้ยงหนูนามาแบบไม่ค่อยให้ทำอะไร แถมยังมีป้าศรีคอยช่วยทุกเรื่อง งานบ้านต่าง ๆ น้องคงต้องค่อยๆเรียนรู้ ”
กนกวรรณเธอเลี้ยงลูกโดยลืมคิดไปว่าสักวัน ลูกสาวของเธอต้องมีครอบครัว จึงให้ป้าศรีทำให้ทุกอย่างจนหนูนาแทบจะทำไรไม่เป็นนอกจากเรียนหนังสือ
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ รับรองผมทิ้งไว้กับคุณแม่ผมสักสองวัน งานบ้านจะเก่งทันที”
กนกวรรณส่งยิ้มเห็นด้วยให้กับลูกเขย เพราะเรื่องงานบ้านงานครัวต้องยกให้ภาวิณีเลย ใคร ๆก็บอกว่าที่พ่อเลี้ยงชนินทร์สิ้นลายความเจ้าชู้เพราะติดใจฝีมือทำกับข้าวและความเอาใจเก่งของภาวิณี
“หนูนาไปเอาขนม เอาน้ำมาให้พี่เขากินเล่นหน่อยสิ ป้าศรีไปตลาดยังไม่กลับมาเลย”
กนกวรรณอยากคุยกับลูกเขยอย่างเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้หนูนาได้ยิน
“ภูแม่จะขอให้เราดูแลหนูนาหน่อยนะ เธอเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยจะได้เจอผู้คน แม่กลัวจะหลงเชื่ออะไรใครง่ายๆ และอีกอย่างเวลาหนูนาโกรธขึ้นมา เธอจะเป็นอีกคนเลย ภูก็ต้องอดทนนะ ไม่นานน้องก็จะอารมณ์ดีเอง”
ด้วยความเป็นคุณหนู เวลาที่หนูนารู้สึกไม่พอใจอะไรขึ้นมา เธอพร้อมจะชนและกล้าที่จะทำทุกอย่างเพื่อระบายความโกรธ เพียงแต่เธอไม่ค่อยได้โกรธหรือโมโหใคร จึงไม่ค่อยมีคนอื่นได้รู้นอกจากคนใกล้ชิด
“ครับ ผมเข้าใจครับ ผมก็มีส่วนที่น้องต้องทนเหมือนกัน คนเราถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน นิสัยก็คงไม่เหมือนกันไปหมดทุกเรื่อง คงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันไป”
คนเป็นแม่ได้ยินคำตอบแบบนี้ก็สบายใจขึ้นเยอะ เพราะเธอกลัวลูกเขยจะไม่เข้าใจ
“แอบนินทาหนูแน่ ๆเลยใช่ไหมคะ”
หนูเดินกลับมาพร้อมกับจานขนมและน้ำหนึ่งแก้ว ปากก็ถามในขณะที่เคี้ยวขนมไปด้วย