บทที่ 10 หงุดหงิด
“เดินไปทางด้านนั้นมีน้ำตกให้ชมนะครับ” พนักงานชายกล่าวต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หนูนาหันไปยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดเล็ก มือบางค่อยๆ จับอย่างเบามือ พร้อมกับสายลมอ่อนวูบมาปะทะที่ใบหน้า หญิงสาวกลั้นน้ำตาเอาไว้จนสุด อดนึกถึงความหลังที่เคยอยู่อย่างพร้อมหน้า ในวันนี้โลกทั้งใบมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ก่อนมือหนาของใครบางคนจะดึงมือเธอกลับ
“ลองไปดูด้านโน้นไหม มีกังหันด้วยนะ เผื่อคุณจะอยากถ่ายรูป” หนูนาหันกลับมาพบกับสามีกำลังดึงมือเธออยู่ ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะอ้าปากตอบอะไร แรงที่มีมากกว่าของอีกฝ่ายรั้งให้เท้าเล็กต้องออกเดินตาม
รอยยิ้มมุมปากของราเชนทร์ที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในบริษัทปรากฏชัดขึ้น เมื่อคนของเขาส่งภาพของลูกชายที่กำลังจูงมือลูกสะใภ้ด้วยความแนบชิดสนิทกันมากขึ้น ก่อนจะยกมือถือโทรหาแล้วกำชับซ้ำอีกครั้ง
“แพลนที่ผมวางไว้ทั้งหมด ยกให้เป็นหน้าที่คุณ ไม่ว่าจะเรื่องอาหารหรือโปรแกรมเที่ยว ติดตามแล้วส่งภาพมาให้ผมเป็นระยะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ดี” ราเชนทร์กดวางสายพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง ว่าทั้งสองจะปรับตัวเข้าหากันได้มากยิ่งขึ้น
“ชอบมุมนี้ไหม ผมถ่ายรูปให้” เขาเสนอ หนูนาหันมองอย่างสนใจก่อนพยักหน้า ชายหนุ่มพยายามถ่ายรูปเธอไปทั่วบริเวณ โดยลืมไปว่ามีใครอีกคนที่รอโทรศัพท์ของเขาเกือบคลั่ง มือบางหมกมุ่นจดจ่ออยู่กับมือถือ พลางหยิบขึ้นมาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนวางลง ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ป่านนี้ก็น่าจะเดินทางถึงจุดหมายแล้ว ทำไมยังไม่โทรมานะ” วิภาพึมพำพร้อมหน้าเง้า
“นี่ เบาๆ หน่อยได้ไหม หัวฉันจะหลุดอยู่แล้ว” เธอหันไปโวยวายกับช่างผม
“ขอโทษค่ะ ดิฉันก็ทำเบาๆ นะคะ” สาวประเภทสอง พูดย้อนอย่างเกรงใจ
“เบาอะไร ฉันเจ็บหัวไปหมดแล้ว เกิดเป็นอะไรขึ้นมา น้ำหน้าอย่างเธอจะรับผิดชอบไหวไหม” เสียงของวิภาดังขึ้นจนทุกคนหยุดกิจกรรมแล้วหันมายังจุดเดียวกัน ตามด้วยการซุบซิบแบบจับใจความไม่ได้ของเหล่าทีมงาน
“วิภา ใจเย็นๆ” ผู้จัดการส่วนตัวของเธอเห็นท่าไม่ดี จึงเข้ามาปรามด้วยกิริยาสำรวม
“วันนี้ไปกินรังแตนที่ไหนมา ถึงได้อารมณ์เสียแบบนี้” หญิงสาวไม่ตอบคำถาม ได้แต่มุ่ยหน้าไม่พอใจ
“มาคุยกับพี่หน่อย” ผู้จัดการส่วนตัว ดึงมือวิภาออกมาจากบริเวณนั้น
