บทที่ 5
เซเลน่าสาวเท้าก้าวเดินด้วยความมั่นใจ เธอรู้อยู่แล้ว ว่าตัวเองกําลังจะมุ่งหน้าไปสู่ที่ใด สถานที่แห่งแรกคือตลาดในถิ่นที่อยู่ของชาวฝรั่งเศส ตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปรับประทานแบอียแย*กับกาแฟชิคคารี่** เส้นทางที่เธอเลือกใช้ในเช้าวันนี้ไม่ใช่เส้นทางตรง แต่เซเลน่ามีความเห็นว่าจะได้ชมทัศนียภาพของแถบนี้ได้มากกว่า แต่ถ้าว่าไปแล้วในถิ่นที่อยู่ของชาวฝรั่งเศสนี้ เห็นจะไม่มีส่วนใดเลยที่จะไม่มีทัศนียภาพอันควรแก่การชม
*ขนมชนิดหนึ่งคล้ายกล้วยแขก
**พันธุ์ไม้ซึ่งใช้รากมาคั่วชงดื่มแทนกาแฟ
และแล้วเธอก็บรรลุถึงถิ่นที่อยู่ของชาวฝรั่งเศสตามที่ได้ตั้งใจไว้ ขณะที่เดินไปตามถนนสายแคบ ๆ นั้น เซเลน่าอดที่จะคิดไม่ได้ว่า มันน่าจะเป็นการตั้งชื่อผิดก็เป็นได้ เพราะงานด้านสถาปัตยกรรมในแถบนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นศิลปะแบบสเปน แต่แน่นอนที่การตั้งชื่อน่าจะได้รับมาจากการที่ชาวฝรั่งเศสทั้งหลายที่ได้เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในแถบนี้ของเมืองนิว ออร์ลีนส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออเมริกันได้เข้าครอบครอง และพยายามที่จะทําให้เมืองนี้เป็นแบบอังกฤษ ซึ่งเซเลน่าก็ยังสงสัยอยู่ว่า ชาวอเมริกันทําได้สําเร็จหรือไม่
ในที่สุดเธอก็เดินออกจากถนนซอยอันร่มรื่นซึ่งมีชื่อเรียกว่า ไพเรท อัลเล่ย์ (ซอยโจรสลัด) มาหยุดอยู่เบื้องประตูทางเข้าของวิหารเซนท์หลุยส์ ตื่นตะลึงกับความงามของหอคอยน้อยใหญ่ อันเป็นองค์ประกอบที่งามวิจิตรราวกับเมือง ในเทพนิยายของวิหารแห่งนั้น ซึ่งเป็นวิหารที่เก่าแก่ที่สุดของ สหรัฐอเมริกา
ขณะที่เดินข้ามถนน เธอสังเกตเห็นบรรดาศิลปินทั้งหลาย ตั้งอุปกรณ์อยู่รายรอบรั้วเหล็กที่กั้นบริเวณแจ๊คสันสแควร์ไว้ สัญญากับตัวเองว่าหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว เธอจะต้องมาชมบริเวณนี้ให้ได้
เธอใช้ทางลัดตัดข้ามจัตุรัสแห่งนี้ตรงไปยังตลาดฝรั่งเศส และในทันใดก็ได้พบว่าไม่ใช่มีแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คิดจะออกมารับประทานอาหารในตลาดแห่งนี้แต่เช้าตรู่ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ อบอวลด้วยกลิ่นหอมของโดนัท ขนมแบอียแย คลาคล่ำไปด้วยบรรดาลูกค้า ซึ่งทําให้เซเลน่ารู้สึกว่าความหิวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่สอดส่ายสายตามองหาโต๊ะว่าง ซึ่งในที่สุดก็ได้ที่นั่งตามต้องการ
โดนัทรูปสี่เหลี่ยม เจาะรูตรงกลางไว้เล็กนิดเดียว ฉาบด้วยน้ำตาลในสีขาวผ่อง ยังอุ่นอยู่ตอนที่ถูกนํามาเสิร์ฟ เธอยกถ้วยกาแฟดําขึ้นจิบ และแล้วก็ต้องรีบเติมครีมลงเพื่อลดความเข้มข้น แต่กระนั้นรสชาติของกาแฟชิคคารี่ก็ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ๆ และเมื่อมันหมดถ้วยลงเธอก็ยินดีที่จะเติมอีกเป็นรอบสอง
เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และได้เห็นเด็กชายตัวน้อย ๆ คนหนึ่งกําลังกระตุกแขนเสื้อมารดาอยู่ เสียงพูดของพ่อหนู เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยิ่งนัก
“แม่ฮะ ผมได้ยินผู้ชายคนนั้นเขาบอกว่า เดลต้า ควีน เข้าแล้ว เราไปดูกันหน่อยได้ไหมฮะ”
เสียงตอบของสตรีผู้เป็นมารดานั้นค่อนข้างเบาจนเซเลน่าไม่ได้ยิน แต่อาการพยักหน้าและเสียงอุทานด้วยความดีใจของเด็กชาย ทําให้เธอแน่ใจว่ามารดาของพ่อหนูได้ตอบตกลงในคําขอร้องของลูกชายอย่างแน่นอน เธอมองตามร่างสองแม่ลูกที่เดินออกจากร้านกาแฟ ขณะที่ใจก็ครุ่นคิดอยู่ว่าชื่อเดลต้า ควีน นี้ออกจะเป็นชื่อที่คุ้นหูอยู่มาก แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันควรจะเป็นชื่ออะไร
คําถามนั้นติดค้างอยู่ในใจจนในที่สุดเมื่อบริกรคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอก็เรียกเขาไว้และถามเขาว่า
“ฉันได้ยินคนเขาพูดกันว่า เดลต้า ควีนเข้าแล้ว มันเป็นชื่อเรือใช่ไหมคะ”
“ครับ เป็นเรือที่แล่นในแม่น้ำ” บริกรคนนั้นตอบ “มันเป็นเรือกลไฟแบบสมัยเก่า ที่มีล้อติดอยู่สองข้าง เขาจัดขึ้นเป็นเรือสําราญสําหรับนักท่องเที่ยวครับ มีห้องพักค้างคืนบนเรือด้วย”
“อ๋อ” เซเลน่าเริ่มเข้าใจ “ก็หมายความว่ามันเป็นเรือที่ถูกปลดระวางเมื่อไม่กี่ปีก่อน เพราะตัวเรือต่อขึ้นจากไม้อย่างนั้นใช่ไหม”
“ครับ ส่วนใหญ่ของลําเรือต่อขึ้นด้วยไม้ทั้งหมด แต่ด้านนอกของตัวเรือเป็นเหล็ก เนื่องจากมันถูกปลดระวางแล้วอย่างที่คุณว่า เขาก็เลยเอามาแล่นในแม่น้ำ” บริกรผู้นั้นเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เซเลน่านึกถึงภาพที่ผู้คนพากันไปชมเรือลํานั้นด้วยความตื่นเต้น รอยยิ้มจาง ๆ ระบายขึ้น
“แล้วตอนนี้จอดอยู่ที่ไหนล่ะ”
บริกรผู้นั้นทําท่าคล้ายจะทบทวนความจําอยู่เป็นครู่ ก่อนที่จะตอบว่า
“ที่ท่าเรือตรงถนนพอยตราสละมังครับ คุณพอจะทราบไหมล่ะครับว่ามันอยู่ตรงไหน” เมื่อเห็นเซเลน่าส่ายศีรษะปฏิเสธว่าตนเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยเขาก็อธิบายต่อว่า “มันอยู่ฟากตรงข้ามกับคะนัลสตรีท ใกล้กับอินเตอร์เนชั่นแนล เทรดมาร์ทนั่นแหละครับ”
“อ๋อ....ถ้าอย่างนั้นก็พอนึกออกแล้ว” เซเลน่าผงกศีรษะรับ “ขอบใจมากนะ”
เธอพอจะนึกออกว่าบริเวณที่กล่าวถึงนี้ ควรจะอยู่ตรงส่วนใดของตัวเมือง โดยเฉพาะเมื่อมีหอคอยของตัวอาคารศูนย์การค้าพุ่งยอดขึ้นเสียดฟ้าเป็นเครื่องหมายที่มองเห็นเด่นชัดอยู่มันก็ย่อมเป็นการง่ายที่จะเดินไปยังบริเวณดังกล่าว และเมื่อถึงแถวนั้นแล้ว เธอก็ย่อมจะถามถึงวิธีการที่จะไปให้ถึงท่าเรือได้โดยง่าย
และในที่สุด เซเลน่าก็บรรลุถึงจุดหมายตามที่ได้ตั้งใจไว้ คือบริเวณท่าเรือดังกล่าว เธอหยุดตรงประตูทางเข้า เพื่อสอบถามจากหน่วยรักษาความปลอดภัย
“เดลต้า ควีน หรือครับ ตอนนี้คงมีเรือของพวกนักท่องเที่ยวไปจอดล้อมอยู่แน่นแน่” ยามรักษาการณ์กล่าว “คุณจะเดินตัดอู่รถนี่ไปก็ได้ แล้วก็เลี้ยวขวา”
สายลมแรงพัดปีกหมวกให้กระพือขึ้น ขณะที่เดินไปตามทางเดินคอนกรีต ที่ทอดตัวไปตามความยาวเบื้องหน้าอาคารท่าเรือที่ตั้งอยู่บนริมฝั่งน้ำ เซเลน่าเลี้ยวไปทางขวาตามที่ได้รับการบอกเล่า ผ่านอนุสาวรีย์ซึ่งมีชื่อว่า “ท่านนายพล” และเดินตรงไป
ขณะที่เดินไปตามท่านั้น เธอมองเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างปรากฏอยู่จึงเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น มีเรือลําอื่น ๆ บังอยู่ จนกระทั่งเดินเข้าไปใกล้ สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือชื่อซึ่งเขียนไว้ข้างลําเรือที่ฉาบไว้ด้วยสีดํา เซเลน่าชะลอฝีเท้าลง ทอดสายตามองดูเรือขนาดสี่ชั้น
ขณะนั้นพวกพอร์ตเตอร์ กําลังช่วยกันขนกระเป๋าของผู้โดยสารลงจากเรือ ตามมาด้วยบรรดาผู้โดยสารซึ่งเดินช้า ๆ ไม่รีบร้อน ผู้คนที่ไปชมรวมตัวกันอยู่ตามแนวท่า บางคนก็มารับผู้โดยสารที่มากับเรือลํานี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ เช่นสองแม่ลูกที่เธอพบในร้านกาแฟ เพียงแต่มาชมเรือเดลต้า ควีน ลํานี้
ตรงหัวสะพานเดินเรือมีโปสเตอร์เขียนไว้ว่า “ขออภัย ขณะนี้ยังไม่ต้อนรับผู้ขึ้นชม” เซเลน่ารู้สึกเสียดายยิ่งนัก ราวที่ทําด้วยไม้สักถูกขัดจนวาววับ โอบล้อมดาดฟ้าทั้งสามชั้นไว้ ปล่องสีดําประกอบด้วยฝาครอบสีทองพุ่งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ห้องเครื่องชั้นบนสุดซึ่งทําให้เธอ อยากจะได้เข้าไปสํารวจภายในยิ่งนัก ตรงข้างกราบเรือคือล้อที่ฉาบไว้ด้วยสีแดงสด ซึ่งจะใช้ก็ต่อเมื่อเรือออกจากท่าแล้วเท่านั้น
ลูกเรือคนหนึ่ง ซึ่งจากรูปร่างที่ปรากฏอยู่ทําให้รู้ว่าเป็นหญิง กําลังฉาบสีชื่อ เดลต้า ควีน ซึ่งอยู่เหนือล้อขึ้นไปปล่องหวูดเรือเป็นสีทองกระจ่างตาอยู่ในแสงแดดยามเช้า
สิ่งหนึ่งที่เซเลน่าสังเกตเห็นคือร่องรอยแห่งการชํารุดทรุดโทรมด้วยอายุของการใช้งานที่เนิ่นนานมา และทุกจุดได้รับการฉาบไว้ด้วยสีสันอย่างมีศิลปะ ซึ่งร่องรอยเหล่านี้เท่ากับเป็นการย้ำเตือนว่า เดลต้า ควีน คือสุภาพสตรีชราแห่งลําน้ำสายนี้
“มันเหมือนกับอะไรบางอย่าง ที่หลุดออกมาจากอดีตใช่ไหม” มีเสียงหนึ่งเอ่ย
เซเลน่าสะดุ้งทั้งตัว หันขวับไปมอง และได้พบว่ามีผู้หญิงสูงวัยกว่าคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ตัว
“อ๋อ....ใช่ค่ะ” เธอตอบอย่างเห็นด้วยเต็มที่พร้อมกับรีบยิ้มให้ “ฉันไม่เคยคิดเลยนะคะว่าจะมีเรือใหญ่ ๆ ขนาดนี้”
“นั่นสิ” ผู้หญิงคนนั้นผงกศีรษะรับ “เรือลํานี้บรรจุผู้โดยสารได้ถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบคน กับลูกเรืออีกเจ็ดสิบห้าคน” หล่อนเล่าด้วยสุ้มเสียงที่บอกถึงความรู้จริง
“รู้สึกว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับเดลต้า ควีน ดีจังนะคะ” เซเลน่าตั้งข้อสังเกต สายตาที่มองผู้หญิงคนนั้นอย่างพินิจ เรือนร่างของหล่อนสูงไล่เลี่ยกับเซเลน่า เรือนผมเป็นสีดําขลับ ยกเว้นตรงขมับที่มีสีเทาเงินแซมอยู่ ซึ่งเน้นให้เห็นถึงวัยที่ล่วงเลยไป ปลายหางตาทั้งสองข้าง เริ่มปรากฏรอยยับย่นของตีนกาปรากฏอยู่ แต่ผิวหน้ายังเต่งตึงไม่มีร่องรอยอื่นใดแม้แต่น้อย เซเลน่าเดาเอาว่าการที่หล่อนมีวัยงามอาจจะเป็นเพราะโครงสร้างของรูปหน้าที่ค่อนข้างเข้มแข็ง เพราะจากสายตาเซเลน่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องอยู่ใน วัยห้าสิบปีปลาย หรือไม่ก็ต้นหกสิบเสียด้วยซ้ำ
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมีลักษณะเป็นคนกระดูกใหญ่แต่เรือนร่างก็สูงสง่า แต่งกายประณีตด้วยชุดฤดูร้อนเป็นสูทสีน้ำเงินเข้ม รูปแบบของการตัดเย็บซึ่งเข้ารูปเข้าร่าง บอกให้รู้ถึงมาตรฐานในการแต่งกายชั้นดี ท่าทางหล่อนคุ้นชินกับการใช้เสื้อผ้าราคาแพง เซเลน่าแน่ใจว่า แม้ว่าในเยาว์วัยผู้หญิงคนนี้จะไม่ใช่คนที่งามผุดผาด แต่ก็จะต้องเป็นคนที่มีเสน่ห์สมลักษณะภูมิฐานที่เป็นอยู่ในเวลานี้
“ฉันคุ้นกับเรือลํานี้แล้วก็ประวัติของมันพอสมควร” หล่อนกล่าว
“คุณอยู่ที่นิว ออร์ลีนนี่หรือคะ” เซเลน่ามั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ผู้หญิงคนนี้เห็น แต่เธอไม่เห็น
“ใช่ค่ะ” เป็นคําตอบสั้น ๆ ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหม่อ มองดูเรือกลไฟลํานั้น