บทที่ 12 คุณตาระหว่างหน่อย คุณเป็นผู้มีความรู้
คุณตามองหลานสาวที่หน้าตาเหมือนลูกสาวนั้นยืนอยู่หน้าประตูอย่างตื่นเต้น และน้ำตาก็ไหลลงมาตาม
"คุณตา หนูกลับมาเยี่ยมคุณค่ะ ทำไมยังร้องไห้คะ"
"อีนังนี่ไม่กลับมาสามปีเลยนะ กลับมาต้องไม่มีเรื่องดีอะไรแน่นอน ถูกคนที่นามสกุลฟู่คนนั้นรังแกหรือเปล่า?"
ไป๋หมิงฉีเช็ดน้ำตา และเอ่ยเสียงเย็นชาออกมา
จากนั้นก็เริ่มบ่นและด่าว่า"ตอนนั้นฉันบอกแล้วว่า แกกับเขานิสัยไม่เข้ากัน แถมตระกูลเซี่ยและตระกูลฟู่ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน เรื่องแต่งงานก็ต้องดูความเหมาะสมทางฐานะด้วย"
"ตอนนั้นแม่ของแกถูกเซี่ยเจี้ยนกังหลอกไป ถึงกลายเป็นเช่นนี้"
เมื่อกล่าวถึงลูกสาว ไป๋หมิงฉีก็รู้สึกปวดใจอีกแล้ว
และมองหว่านหว่านอีกครั้งหนึ่ง หลานสาวที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ประสบปัญญาด้วยความรักเหมือนแม่ของเธอเลย
ไม่คุ้มเลย!
ปีนั้นเธอจงใจจะแต่งงานกับฟู่เจวี๋ยเซิน ถึงแม้รู้ว่าเขาไม่ชอบตัวเอง แต่ก็ไม่สนใจใดๆ
สามปี
ถึงแม้เลี้ยงหมาตัวหนึ่ง ก็ต้องมีความสัมพันธ์กันแล้วนะ
แต่ตลกมาก ในสายตาของฟู่เจวี๋ยเซิน เธอคงยังไม่เท่าหมาตัวหนึ่งเลย
"คุณตาคะ คุณคิดมากไปแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ หนูแค่คิดถึงคุณเท่านั้นเองค่ะ"
เซี่ยหยูหว่านกลัวว่าคนแก่เป็นห่วงตัวเอง รีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่อ่อนหวานและออดอ้อนใส่
"อย่ามาเลย แกยังไม่ได้ถอดกางเกงฉันก็รู้ว่าแกจะตดเลย"
"แค่กๆ คุณตา คุณเป็นผู้มีความรัก ระวังการใช้คำด้วยค่ะ!"
คนแก่นี่ถึงพยักหน้าด้วยความเสียใจภายหลัง"ใช่แล้ว ฉันเป็นผู้มีความรู้ต้องรักษาภาพลักษณ์"
"พอเถอะ หนูเอาสายไหมเอาให้เลยนะ ไป เข้าไปนั่งกัน ยืนนานๆหนูเมื่อยมาก"
ระหว่างที่พูด เธอก็ประคองไป๋หมิงฉีเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน
เดินทะลุผ่านทางเดินยาวๆตรงกลาง ในลานบ้านมีที่กั้นทำจากหินอันหนึ่ง ทั่งสี่ด้านใช้ทางเดินเชื่อมต่อกับห้องต่างๆ ตรงกลางถึงเป็นห้องรับแขกหลัก
ถึงแม้สไตล์การออกแบบเป็นเรือนสี่ประสาน แต่ข้างในยังคงเก็นเครื่องใช้ไฟฟ้า และการตกแต่งที่เป็นปัจจุบัน
เรียบง่ายแต่หรูหรา และสง่างามอีกด้วย
ตาและหลานสองคนนั่งตรงข้ามกัน ไป๋หมิงฉีถือสายไหมในมือ และดึงไม้เสียบออกไป
และปั้นเป็นก้อนๆหนึ่ง ยัดเข้าไปในปากท่ามกลางสายตาที่ตกใจของเซี่ยหยูหว่าน สายไหมก็หมดไปเลย
"หวานมาก แต่น้อยเกินไป"
เขาค่อยๆจิบชาอึกหนึ่ง และบ่นว่า
เซี่ยหยูหว่าน"......"
วิธีการกินอย่างคุณเนี่ย ไม่มีใครกล้าขายหรอก
"หย่าจริงเลยหรือ?"
"ค่ะ"
คนแก่ดีใจขึ้นมาก่อนจากนั้นก็ขมวดคิ้ว"หว่านหว่าน ต่อจากนี้มีแผนอะไรหรือเปล่า?"
"ไม่รู้"
เซี่ยหยูหว่านเล่นแก้วเซรามิคในมือ และให้มันหมุนอยู่บนโต๊ะ
"แกแต่งงานเร็วไป เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จก็แต่งงานกับเขาแล้ว คุณตาว่า ไม่งั้นกลับไปเรียนต่อเถอะ"
เรียนหนังสือ?
แต่ ปีนี้เธออายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะ
คนที่อายุพอๆกับเธอเรียนอยู่ปีสาม หรือไม่ก็เริ่มฝึกงานกันแล้ว......
ตอนนี้กลับไปเรียน เซี่ยหยูหว่านรู้สึกค่อนข้างจะอาย
"แต่อายุของหนู"
"นี่มีอะไรล่ะ สมัยก่อนคนที่อายุเจ็ดแปดสิบเพิ่งได้เรียนตัวอักษรยังมีเยอะเลย แกเป็นหลานสาวของฉันไป๋ฉีหมิง อยากเรียนต่อก็แค่เป็นคำพูดเดียวเท่านั้น"
"หนูพิจารณาก่อนแล้วค่อยให้คำตอบค่ะ"
เธอไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง งั้นก็หมายความว่ามีโอกาส!
ไป๋ฉีหมิงตาสว่างขึ้นมา พอดีว่ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจะให้หว่านหว่านไปทำ
คืนวันนั้นพักอยู่ในตระกูลไป๋คืนหนึ่ง
วันรุ่งขึ้น หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ
หว่านหว่านก็กลับถึงเมือง A
กลับถึงบ้านนอนลงไปไม่ถึงกี่นาที ก็ได้รับโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทฟางเสี่ยวเสี่ยวโทรมา
กดปุ่มรับสาย สมองเต็มไปด้วยเสียงกรี้ดของเธอ"หว่านหว่าน ไอ้หญิง ได้ข่าวว่าแกหย่าแล้า ยินดีด้วยนะ"
เซี่ยหยูหว่านกระตุกปาก"ฉันหย่า แกยังยินดีหรือ?"
"ใช่สิ ไอ้คนหน้าเย็นชาคนนั้นดีตรงไหน แกเป็นตั้งสาวสวยที่งามสุดๆ ยังกลัวว่าจะไม่มีใครรักหรือ?"
"อย่าพูดถึงคนอื่น อย่างน้อยพี่ชายของฉันก็ชอบแกมากๆ หากแกยอมเป็นพี่สะใภ้ของฉัน ฉันไม่ซีเรียสเลยนะ"
ฟางเสี่ยวเสี่ยว เป็นเพื่อนสนิทที่เธอคบกันตั้งแต่ประถม
จนกว่าถึงมหาลัย ทั้งสองถึงแยกจากกัน
เธอในฐานะที่เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฟาง ใช้ชีวิตอย่างไร้เดียงสาและไม่รู้ด้านมืดของสังคม
ส่วนพี่ชายในปากของเธอฟางจิ่งหยาง เป็นเด็กที่อ่อนโยนและมีมารยาท
เซี่ยหยูหว่านรู้สึกว่าหญิงที่เคยแต่งงานไปแล้วอย่างตัวเองอย่าไปทำร้ายคนอื่นดีกว่า
"แต่ฉันซีเรียสน้องสาวสามีเป็นคนที่โง่ๆเช่นนี้"
"พิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นเพื่อนไม่แท้"
เซี่ยหยูหว่านรู้ว่าเธอไม่โกรธหรอก เลยไม่ได้วางสาย
อย่างที่คิด ไม่ถึงสองวินาที หญิงคนนั้นก็เริ่มพูดอย่างลึกลับอีกว่า
"หว่านหว่าน คืนพรุ่งนี้มีรุ่นพี่หล่อๆคนหนึ่งนัดฉันไปกินเหล้าที่ไนท์คลับ แกจะมาด้วยไหม?"
"ไม่ไปแล้ว แกไปนัดเดทกับหนุ่มหล่อน้อย แต่ฉันเนี่ยก็ยังรู้อยู่นะว่าเอดิสันเขาตายไปเพราะอะไร!"
และคืนพรุ่งนี้เธอมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ
"โอเคๆ งั้นครั้งหน้าค่อยนัดแกละกัน"
ฟางเสี่ยวเสี่ยวทำปากมุ่ย และวางสายลงอย่างเสียใจ
......
วันรุ่งขึ้น
หนึ่งทุ่ม
ไฟในเมืองสว่างขึ้นมา ทุกที่ล้วนเต็มไปด่วยบรรยายแสงสีสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในท่ามกลางแสงเหล่านี้ แสงไฟในมงกุฎนั้นโดดเด่นและดึงดูดความสนใจมาก
ณ โรงแรมคราวน์
โรงแรมที่ระดับชั้นนำที่สุดของเมือง A ไม่มีแหล่งใดเทียบเท่าได้
ชั้นบนสุด
งานเลี้ยงยิ่งใหญ่เฉพาะสังคมชั้นนำค่อยๆเริ่มขึ้น ในโลกที่เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับของเครื่องประดับ และชุดการแต่งกายที่หรูหรานี้
สีแดงนั้นเด่นเป็นพิเศษ
ผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงเกาะอกสีแดงชุดหนึ่ง เผยให้เห็นหลังที่สวยงามและผิวกายที่ขาวเนียน ผมลอนสองข้างถักเป็นเปีย และม้วนขึ้นหลังศีรษะ
ที่คาดผมสีเดียวกันห้อยอยู่ระหว่างผมสีดำ ซึ่งสวยงามเป็นพิเศษ
เธอได้ใส่หน้ากากผีเสื้อที่มีเลื่อมสีม่วงบนใบหน้า สามารถเห็นแต่ปลายจมูกที่โด่งและริมฝีปากที่แดงราวกับดอกไม้
ผู้ชายที่เดินผ่านล้วนส่งสายตาที่ประหลาดใจและแปลกใจมา
แต่ผู้หญิงกลับใช้มือข้างหนึ่งพยุงศีรษะไว้ และนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางที่ขี้เกียจ มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ
"สาวสวย ผมจะโชคดีได้นั่งด้วยกับคุณหรือเปล่า?"
ผู้ชายอายุประมาณสามสิบปีเดินมา และถามด้วยเสียงที่อ่อนโยน
สายตามองไปที่หน้าอกของเซี่ยหยูหว่านโดยตรง
"แล้วแต่"
ผู้ชายแอบคิดอยู่ว่าเสียงก็ไพเราะมาก เดี่ยวร้องอยู่ข้างล่างของเขาต้องดีกว่านี้แน่เลย
ในขณะเดียวกัน พนักงานบริการที่ถือเหล้าคนหนึ่งเดินมา
ผู้ชายโบกมือให้พนักงานบริการรอสักครู่
เอาเหล้าแดงสองแก้วและยื่นแก้วหนึ่งในนั้นให้เซี่ยหยูหว่าน
"เพื่อแสดงความขอบคุณ ผมขอชนแก้วกับคุณครับ"
ในตอนที่มือของเขารับแก้วเหล้าไป เม็ดยาเม็ดหนึ่งในระหว่างนิ้วก็ตกเข้าไปในแก้ว
ผู้ชายนึกว่าตัวเองฝึกได้คุ้นเคยมาก ไม่มีใครพบได้
แต่ไม่รู้ว่าวิธีการแบบนี้ เป็นวิธีการที่เซี่ยหยูหว่านเลิกใช้ไปตั้งนานแล้ว
เธอยิ้มมุมปาก และถือขาแก้วไวน์ หยิบมาถึงหน้าตัวเอง พร้อมเขย่าสองที
ของเหลวในแก้วเหมือนเป็นเลือด สะดุดตามาก
ผู้หญิงค่อยๆเอ่ยขึ้นมาอย่างใจเย็น
"ในนี้มีสารไตรอาโซแลมผสมอยู่อยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ใช้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ มีอาการประสาทหลอน และมีอาการคันผิวหนัง ฉันพูดถูกต้องไหม?"
สีหน้าของผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนไปเลย ปฏิเสธอย่างติดๆขาดๆ
"ฉัน......ฉันไม่รู้ว่าแกพูดอะไรอยู่"
