บาดแผลที่ไม่อาจลืม
ท้องฟ้าเหนือกองทัพต้าหยางยังคงแต้มด้วยสีหม่นของเมฆหมอกที่ลอยคลุมราวกับเงาแห่งความอึมครึมภายในใจของใครบางคน แม้ว่าการเดินทัพของกองทัพกล้าจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเสียงแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับแม่ทัพใหญ่ “จางชิงหยวน” แล้วนั้นความรู้สึกของเขากลับไม่ได้สะท้อนภาพแห่งชัยชนะนั้นเลย
จางชิงหยวนขี่ม้าสูงสง่านำหน้าเหล่าทหารที่กลับมาจากการยึดครองหัวเมืองทางตะวันออก ทหารแต่ละคนดูมีความสุขและโล่งใจที่สามารถกลับมาเยือนบ้านเมืองได้อีกครั้งหลังจากการสู้รบอันยาวนาน เสียงพูดคุยและรอยยิ้มที่แสดงถึงความปลอดภัยทำให้บรรยากาศดูสดใส แต่จางชิงหยวนกลับไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ กับพวกเขาเลยสักนิด
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของแม่ทัพหนุ่มทอดมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าไกล ท่ามกลางหมอกหนาที่ปกคลุมแผ่นดินเบื้องหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ความยินดีใดๆ หากแต่เป็นภาพจำในอดีตที่กัดกินจิตใจของเขามานานถึงสามปี ภาพของเพลิงสงคราม เสียงกรีดร้อง ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันหวนคืน และใบหน้าของคนรักที่ไม่อาจลืมเลือนไปได้
สามปีก่อน...
ควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงโห่ร้องของศัตรูจากแคว้นเสียนหู่ดังกลบเสียงลมและเสียงฟ้าร้องรอบๆ พวกมันบุกเข้ามายังค่ายทหารของแคว้นต้าหยาง เพลิงสงครามลุกลามไปทุกทิศทาง ร่างทหารหลายคนล้มลงกลางสนามรบ เปื้อนดินด้วยเลือดแดงฉาน
เสียงดาบปะทะกันดังกึกก้องท่ามกลางความโกลาหล แต่มนต์ดำที่ถาโถมใส่กองทัพต้าหยางในวันนั้นคือสิ่งที่ทำลายขวัญกำลังใจของพวกเขามากที่สุด มันเป็นวิชาลับที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน พลังแห่งความมืดนั้นเปรียบเสมือนพายุที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า
ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด จางชิงหยวนมองเห็นแสงสีดำวาบขึ้นมาในท้องฟ้าด้านหน้า ร่างของ “ไป่ซูเหม่ย” หญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขายืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ นางกำลังยืนเผชิญหน้ากับศัตรูคนหนึ่ง รองแม่ทัพหวงหมิงเจ๋อจากแคว้นเสียนหู่ ผู้ใช้มนต์ดำที่ทรงพลังที่สุดของฝ่ายศัตรู
ดวงตาของไป่ซูเหม่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางไม่เคยต้องเผชิญกับพลังมนต์ดำมาก่อน จางชิงหยวนรีบพุ่งเข้าไปหานางพร้อมกับตะโกนเรียก
“เหม่ยเอ๋อร์!”
แต่ทว่าเสียงของเขาถูกกลบไปด้วยเสียงคำรามของมนต์ดำที่ฟาดใส่ร่างของนาง แสงสีดำพุ่งเข้าใส่ไป่ซูเหม่ยราวกับสายฟ้าที่โหมกระหน่ำ
ร่างของหญิงสาวกระเด็นลอยไปตามแรงกระแทก ก่อนที่จะตกลงสู่พื้น จางชิงหยวนวิ่งไปถึงตัวนางทันที หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความกลัว เขาทรุดตัวลงข้างๆ ร่างที่นอนแน่นิ่งของนาง
ไป่ซูเหม่ยนอนอยู่ท่ามกลางเพลิงสงครามและเสียงดาบที่ยังคงดังก้องรอบตัว ร่างกายของนางเริ่มเย็นเยียบลงเรื่อยๆ ดวงตาคู่งามที่เคยเปล่งประกายกลับบรรจงปิดอย่างสนิท
จางชิงหยวนเอื้อมมือที่สั่นเครือไปสัมผัสใบหน้างามของไป่ซูเหม่ย ความเจ็บปวดราวกับดาบที่กรีดลงไปในหัวใจ ความโศกเศร้าครอบงำเขาจนแทบหายใจไม่ออก ภาพของคนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนยังคงชัดเจนในจิตใจของเขา ร่างของนางที่เคยนุ่มนวลและอบอุ่นกลับกลายเป็นร่างไร้ชีวิต หัวใจของเขาพลันรู้สึกราวกับถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
เขามองไปทั่วสนามรบ ในขณะที่ความสับสนวุ่นวายยังคงดำเนินต่อไป แต่ในหัวของเขามีคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา
“พวกมันต้องมีหนอนบ่อนไส้ช่วยทะลวงค่ายของเราจากภายใน...”
จางชิงหยวนไม่เชื่อว่าการโจมตีครั้งนั้นเป็นเพียงแค่แผนการธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนเป็นการวางแผนอย่างดีและรู้ทันทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา
“ว่าแต่มันผู้นั้นเป็นใคร!?” เขารู้ว่าต้องมีใครบางคนที่ช่วยเหลือศัตรูจากภายใน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนทรยศผู้นั้นหลุดรอดไปได้
เขาเอื้อมมือสัมผัสร่างไร้วิญญาณของไป่ซูเหม่ยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความแค้น “ข้าจะต้องหาคนทรยศให้ได้... และข้าจะล้างแค้นให้เจ้า เหม่ยเอ๋อร์”
เสียงฝีเท้าม้าของกองทหารต้าหยางยังคงดังเป็นจังหวะขณะที่พวกเขาเดินทางกลับบ้านหลังจากชัยชนะเหนือหัวเมืองทางตะวันออก แต่สำหรับจางชิงหยวน ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้ช่วยให้หัวใจของเขาสงบลงได้เลย ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความคิดถึงและความแค้นที่ยังไม่ได้รับการชำระ
“ท่านแม่ทัพ” เสียงของตวนหลี่ รองแม่ทัพคนสนิท ดังขึ้นจากข้างๆ เขา “ท่านยังคงคิดถึงเรื่องเดิมอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ?”
จางชิงหยวนเหลือบมองไปยังตวนหลี่ แววตาของเขายังคงหนักแน่น แต่แฝงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่เคยจางหาย “ข้าไม่อาจลืมได้... ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือคนทรยศ ข้าจะไม่ปล่อยให้มันหลุดรอดไปอีก”
ตวนหลี่พยักหน้าเบาๆ เขาเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดของแม่ทัพหนุ่ม ทั้งสองต่างเคยผ่านเหตุการณ์อันโหดร้ายมาด้วยกันในวันนั้น เขาจึงรู้ว่าจางชิงหยวนไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ได้ง่ายๆ
“ข้าจะช่วยท่านสืบหาความจริงเอง ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะพบตัวคนทรยศ” ตวนหลี่ให้คำมั่นเสียงหนักแน่น
จางชิงหยวนไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงแต่มองออกไปยังเส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า เสียงกีบม้ายังคงดังก้องในอากาศ บรรยากาศของการเดินทางกลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน เหล่าทหารยังคงเดินต่อไปด้วยความหวังที่จะได้พักผ่อนหลังจากการสู้รบอันยาวนาน
“ท่านแม่ทัพ” ตวนหลี่พูดขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงจุดพักแรม “สายของเราได้ข่าวมาว่าตอนนี้แคว้นเสียนหู่เริ่มทำการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ข้าคิดว่าเราควรตั้งค่ายชั่วคราวที่เมืองหมิงอี้ เมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านที่สามารถวางแผนได้ทั้งแนวรุกและรับ และยังเป็นที่อยู่ของลู่หยาง คนสนิทของพวกเราที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในการบุกโจมตีค่ายครั้งนั้น ข้าเชื่อว่าอาจจะมีเบาะแสบางอย่างที่นั่นให้เราค้นหา”
จางชิงหยวนหันมามองตวนหลี่ทันทีเมื่อได้ยินชื่อ “ลู่หยาง” หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ความทรงจำเกี่ยวกับการหายตัวไปของลู่หยางผุดขึ้นมาในหัวของเขา ความรู้สึกว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้ยังคงวนเวียนอยู่ในใจ
“ลู่หยาง...” จางชิงหยวนพึมพำเบาๆ ความคิดเกี่ยวกับการตามหาคนทรยศและการหาเบาะแสของลู่หยางเริ่มเข้ามาในหัว
“บางที... ข้าอาจจะพบสิ่งที่ข้าต้องการที่นั่น” จางชิงหยวนพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังเส้นทางข้างหน้า
“ตวนหลี่ แจ้งกองทัพให้เตรียมตัว” จางชิงหยวนสั่งเสียงเบาแต่เด็ดขาด “เราจะไปตั้งค่ายที่เมืองหมิงอี้ในยามเช้าของวันพรุ่งนี้ และข้าไม่ต้องการให้ใครชักช้า”
ตวนหลี่ยิ้มบางๆ ขณะที่ก้มหัวรับคำสั่ง “ขอรับ ท่านแม่ทัพ ข้าจะจัดการให้พร้อมในทันที”