ตอนที่ 3-2 ( ผิดกฎป่า )
“พวกผมเป็นตำรวจ ไม่เคยเดินป่า ไม่มีความรู้ในเรื่องพวกนี้เลยครับ”
“ใช่ครับ…ไม่เหมือนพวกทหาร ที่เขาอยู่แต่ในป่า จะเก่งเรื่องการเอาชีวิตรอดในป่า เพราะเขาอยู่แต่ในป่าตลอด”
“จริงครับ”
พวกเขาคุยกันไปกินข้าวกันไป อาหารมื้อนี้ถึงแม้จะมีเพียงข้าวเหนียวกับเนื้อเค็มย่าง แต่ด้วยความเหนื่อยล้าบวกกับความหิว พวกเขาก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากกินข้าวกันอิ่มแล้ว ต่างก็พากันแยกย้ายไปนั่งพักรอให้อาหารย่อย
พรานเที่ยงลุกขึ้นเดินไปนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ หยิบยาเส้นออกมามวนกับใบตองจุดไฟดูดพ่นควันโขมง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาปกคลุมผืนป่าทับลาน บรรยากาศในป่าเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ พรานเที่ยงลุกขึ้นเดินไปหาทุกคนที่กำลังนั่งพักอยู่
“เราจะขึ้นไปบนห้างแล้ว แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะถ้าขึ้นไปบนห้างแล้ว เราจะลงจากห้างไม่ได้ เราต้องอยู่บนห้างจนกว่าจะถึงตอนเช้า”
“ครับพรานเที่ยง”
“อย่าพากันออกไปไกลนะ ในป่ามันมีแต่อันตราย ไม่มีใครรู้หรอกว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเราตอนไหน”
“ครับพรานเที่ยง ปะพวกเราแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวกันเถอะ จะได้ขึ้นไปบนห้าง” สารวัตรภาคินหันไปเอ่ยกับลูกน้องก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าป่าไป
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว ครู่หนึ่งก็พากันเดินกลับมา
“มากันหมดรึยัง เราจะขึ้นไปบนห้างแล้วเอากระบอกไม้ไผ่นี่ขึ้นไปด้วย เวลาปวดฉี่จะได้ฉี่ใส่กระบอกไม้ไผ่”
“ทำไมไม่ฉี่ลงมาเลยล่ะพรานเที่ยง” หมวดกวินท์เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เราฉี่แบบนั้นไม่ได้ มันจะผิดต่อเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาและผีสางนางไม้ ห้างมันอยู่ในที่สูงกว่าเขา ถ้าฉี่ลงมาจากห้าง มันก็เหมือนเท่ากับเป็นการไปลบหลู่เขา”
“อ๋อ…เหรอครับ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย”
“เมื่อขึ้นไปบนห้างแล้ว ก็ห้ามนอน แต่ให้นั่งหลับได้ กฎการนั่งห้าง คือนั่งหลับนก เหมือนนกนอน ห้ามนอนยาวบนห้างเด็ดขาด”
“โอ้โห! ไม่น่าเชื่อ กฎในป่าทำไมมันเยอะแยะกว่ากฎในเมืองเสียอีก” ดาบสมพงษ์เอ่ยแต่ฟังดูคล้ายจะเป็นการบ่นมากกว่า
“เอาละ ขึ้นไปบนห้างกันได้แล้ว ไอ้ทัพเดี๋ยวเอ็งพากันแยกไปขึ้นห้างโน้นสี่คน ส่วนสารวัตรตามผมมาทางนี้” พรานเที่ยงพูดจบก็รีบปีนขึ้นไปตามบันไดไม้ไผ่ทันที
สารวัตรภาคินกับลูกน้องอีกสองคนจึงรีบพากันปีนตามพรานเที่ยงขึ้นไป
ไม่นานทุกคนพากันปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนห้างกันหมด
กองไฟที่ลุกโชนอยู่เมื่อครู่เริ่มค่อย ๆ ดับมอดลง บรรยากาศรอบข้างเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ
“สารวัตรเคยนั่งห้างในป่าแบบนี้รึยัง”
“ยังไม่เคยเลยครับ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ที่ได้มานั่งห้างกลางป่า”
“ถ้าสารวัตรง่วงก็นั่งหลับได้เลยนะ เดี๋ยวผมจะอยู่ยามให้เอง” พรานเที่ยงเอ่ยออกมาก่อนจะหยิบไฟฉายขึ้นมาสาดส่องไปรอบ ๆ บริเวณห้างที่นั่งอยู่
“ผมยังไม่ง่วงเลยครับพรานเที่ยง สงสัยจะตื่นเต้น”
“สารวัตรยังแค่ตื่นเต้น แต่ผมนี่สิทั้งตื่นเต้นทั้งกลัวเลย มืดแบบนี้ ผมว่ามันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้” ดาบสมพงษ์เอ่ยกับสารวัตร ก่อนจะเขยิบเข้าไปหาพรานเที่ยง
“ผมว่ามันไม่น่ากลัวหรอกดาบ อยู่ในป่าตอนกลางคืนก็แบบนี้แหละ พวกเราคงชินกับแสงสว่างในเมือง พอมาอยู่มืด ๆ ในป่าก็เลยรู้สึกกลัว”
พวกเขานั่งคุยกันไปได้ครู่หนึ่ง เสียงที่คุยกันก็เงียบไป คงเป็นเพราะความง่วงบวกกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางจึงพากันผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ตอนนี้คงเหลือเพียงพรานเที่ยงคนเดียวที่ยังคงนั่งถือปืนกระชับแน่นในมือ สายตาสอดส่ายมองไปรอบ ๆ ห้าง ที่อยู่ในความมืด
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงสี่ทุ่ม
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ บรรยากาศกลางป่าที่เงียบสงัดและวังเวง ตอนนี้มีเพียงเสียงจิ้งรีดจั๊กจั่นเรไรและเสียงแมลงกลางคืนที่ออกมาหากินกรีดปีกร้องกันอยู่ตามกอหญ้าและต้นไม้
สัตว์กลางคืน เริ่มพากันออกมาหากิน เสียงคุ้ยเขี่ยดินและใบไม้ดังกรอบแกรบ หมาป่าหรือหมาใน ส่งเสียงเห่าหอนดังแว่วมาแต่ไกล สัตว์บางตัววิ่งไล่กันลอดผ่านใต้ห้างที่พวกเขานั่งอยู่
เสียงสัตว์ที่วิ่งเหยียบใบไม้แห้ง ทำให้สารวัตรภาคินที่กำลังนั่งหลับใหลอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยความตกใจ
“พรานเที่ยง เสียงอะไร”
“เสียงสัตว์มันวิ่งไล่กันครับ”
“สัตว์ใหญ่เหรอ”
“ไม่ใช่ สัตว์ตัวเล็ก ๆ สัตว์พวกนี้ไม่ทำร้ายคนหรอก มันกลัวคน”
“แล้วสัตว์ใหญ่มันจะออกมาไหมครับ”
“สัตว์ใหญ่มันจะออกมาหากินเฉพาะตอนกลางวัน ไม่ต้องกลัวหรอก เรานั่งอยู่บนห้างสูงขนาดนี้ สัตว์ใหญ่มันขึ้นมาไม่ได้หรอก”
“ค่อยยังชั่วหน่อย ผมจะได้สบายใจ”
สารวัตรพูดจบก็ล้วงไฟฉายเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตฟีลด์ ส่องดูหมู่ชูชัยกับดาบสมพงษ์ที่กำลังนั่งหลับอยู่ข้าง ๆ ก็เห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนยังคงหลับสนิทอยู่
“ไม่น่าจะมีอะไรหรอก สารวัตรนอนต่อเถอะ ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ผมก็รู้สึกง่วงแล้วเหมือนกัน”
“ครับ งั้น…ผมนอนก่อนนะ”
ทั้งสองคนพากันเขยิบไปนั่งพิงต้นไม้ได้ครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไป
ทางด้านพรานทัพ ที่นั่งอยู่ห้างเดียวกับหมวดกวินท์และตำรวจอีกสองนายต่างก็หลับใหลกันหมดแล้ว
เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเที่ยงคืน
ขณะที่พรานทัพกำลังหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเหมือนใครกำลังฉี่ลงไปจากห้าง
พรานทัพรีบหยิบไฟฉายมาเปิดส่องดู ก็เห็นหมู่มานพกำลังยืนฉี่อยู่พอดี
“อ้าว! หมู่ทำไมถึงฉี่ลงไปยังงั้นล่ะ ทำไมไม่ฉี่ใส่กระบอกไม้ไผ่ ทำแบบนี้มันผิดกฎการนั่งห้าง เหมือนเป็นการลบหลู่เจ้าป่าเจ้าเขาผีสางเทวดาเดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก”
“ก็มันมืดขนาดนี้ ใครจะหากระบอกไม้ไผ่เจอ ไม่รู้มันอยู่ตรงไหน ปวดฉี่จนจะราดอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉี่หน่อยเดียวเอง” หมู่มานพเอ่ยออกมาแบบไม่สนใจในคำพูดของพรานทัพ ก่อนจะนั่งลงเอนหลังพิงต้นไม้นอนต่อ
“เฮ้อ! บอกแล้วก็ไม่เชื่อ พูดกันไม่รู้เรื่องจริง ๆ”
พรานทัพถอนหายใจออกมา ก่อนจะบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจ เพราะกลัวจะเกิดเหตุร้ายจึงได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเลย
ขณะที่พรานทัพกำลังวิตกกังวลในเรื่องนี้อยู่ จู่ ๆ ก็เกิดลมพัดกระโชกมาอย่างแรง จนห้างที่พวกเขานั่งอยู่สั่นสะเทือน เสียงไม้ไผ่ลั่นดังครึก ๆ ราวกับว่ามันจะพังทลายแยกออกจากกัน
“เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมลมมันพัดแรงขนาดนี้ ห้างมันจะพังรึเปล่า” จ่าสมศักดิ์สะดุ้งตื่นขึ้นมาเอะอะดังลั่นด้วยความตกใจ
“กูว่าแล้วเกิดเรื่องจนได้” เสียงพรานทัพสบถออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันไปหยิบเป้ขึ้นมาสะพายหลังแล้วหยิบปืนลูกซองห้านัดมาถือไว้ในมือ