บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 นางเมา

หลิวชิงนั่งรถม้าตราพยัคฆ์ มีสารถีควบม้ามาเป็นรองแม่ทัพ และยังมีคนที่คอยก่อกวนความสงบของนางเป็นเจ้ากุนซือ ที่มักตามติดนางจนทำให้นางนั้นรำคาญนัก

สีหน้าที่ระอาใจอีกทั้งยังถอนหายใจแรง ทำให้ท่านรองแม่ทัพอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

“ท่านแม่ทัพเป็นอะไรขอรับ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”ถึงจะเป็นรองแม่ทัพ แต่จิตใจของเขานั้นอ่อนโยนยิ่งนัก รู้ใจของท่านแม่ทัพไปหมดทุกเรื่อง แต่ยกเว้นเรื่องของหัวใจ

“ข้ารำคาญอาสือ เมื่อไหร่เจ้านี่จะกลับไปจวนของเขาเสียที ตามติดข้าอยู่นั่น” คนหน้านิ่งเริ่มจะคิ้วขมวดแล้วท้องก็ใหญ่จนเดินเหินลำบาก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจวนของนางยามนี้จะกลายเป็นจวนร้างไปหรือไม่

“อาสือเป็นห่วงขอรับ เห็นว่าที่จวนของท่านไม่มีบ่าวสักคน ข้ากับอาสือจึงขออยู่ดูแลท่านก่อนจะหาสาวใช้มาดูแล” ท่านรองรีบแก้ต่างให้สหายและตนเองทันที พวกเขาตกลงว่าจะอยู่ดูแลท่านแม่ทัพจนกว่านางจะคลอด เพื่ออยากให้เห็นกับตาว่า ลูกของนางหน้าตาเหมือนพวกเขาหรือไม่

หากไม่ใช่ พวกเขาก็ยังจะรักและเอ็นดูไม่ต่างจากลูกในไส้ของตนเอง แต่...พวกเขาก็ยังไม่มีภรรยาสักคน เว้นแต่องค์ชายสามที่มีชายอยู่เต็มจวน คาดว่าตอนนี้ในจวนคงจะลุกเป็นไฟไปแน่ ๆ

“ท่านแม่ทัพถึงจวนแล้วขอรับ” ท่านรองรีบจอดรถม้า กระโดดลงก่อนจะกระแทกกับอาสือหรือท่านกุนซือที่ทั้งคู่ต่างส่งมือหมายจะจับจูงท่านแม่ทัพลงที่บันไดเทียบม้า แต่แล้วนางกลับแยกเขี้ยวใส่เขาทั้งสอง

“พวกเจ้ามันน่ารำคาญนัก มาส่งแค่นี้กลับไปจวนของพวกเจ้าได้แล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ของพวกเจ้าคิดถึงลูกชาย แต่พวกเจ้ากลับมาอยู่ที่จวนของข้า พวกท่านคงจะเสียใจนัก” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าตอนนี้ไม่พอใจกับบุรุษทั้งสอง แต่แล้วเมื่อนางเปิดประตู ก็พบกลับสนามหญ้าที่เขียวขจี ด้านในมิได้รกร้างเหมือนดั่งที่คิดไว้ มีชายชราผมขาวโพลนกำลังกวาดใบไม้ ที่สวนอย่างสงบ เมื่อเห็นว่าสตรีที่จากไปนานกลับมาแล้ว ก็เกิดน้ำตาไหลพรากลงมาอย่างดีใจไม่ได้

“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว” พ่อบ้านชราผู้นี้ รับใช้อยู่ที่จวนหยางมาตั้งแต่นางเพิ่งจะห้าหนาว บัดนี้นางยี่สิบสี่ปี เขายังคงทำงานอยู่ในจวน ดูแลสวนของเขาดั่งที่เขาชอบ ชายชรายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาท่วมท้น พลางตื้นตันใจยินดีนักหนา ที่คุณหนูน้อยได้กลับมาที่เมืองหลวงเสียที

“ท่านลุงพ่อบ้าน” หลิวชิงระบายยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะมองเข้าไปข้างในมีสตรีอีกสองคน กำลังเดินยิ้มแป้นมาแถมยังน่ารักไม่เบาอีกด้วย

“พวกนางเป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ในจวนของข้าได้” หลิวชิงเคยอยู่แต่ในสนามรบ อีกทั้งเรือนรับรองของนางที่แดนใต้ก็ไร้สาวงาม มีแต่เหล่าบุรุษทั้งนั้น

“พวกนางเป็นหลานสาวของข้าขอรับ เพิ่งจะมาอยู่ได้ยี่สิบวัน รอรับใช้คุณหนูขอรับ คนเก่าแก่ขอออกจากจวนไปหมด มีครอบครัวบ้างก็มีขอรับ” ท่านพ่อบ้านรีบเอ่ยแจ้งกับคุณหนู และให้หลานสาวทั้งสองทำความเคารพผู้เป็นนายเสีย

“คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ” สตรีงามสองนางยอบกายลงอย่างอ่อนช้อย ทำให้ท่านกุนซือที่ไม่ค่อยพบสาวงามยิ้มจนตาหยี เมื่อครู่เจ้าสองคนยังเอ่ยว่าจะดูแลนางจนคลอด ดูท่าว่าไม่นานก็คงจะมีลูกเองเสียแล้ว ด้วยสายตาของกุนซือ ผู้ที่มักจะเป็นคนนิสัยร่าเริงอีกทั้งยังมักชอบพูดคุย สร้างความสนุกสนานไม่น้อย แต่อย่าให้วางแผนการใด ๆ เขาคนนี้คือคนที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง

“งดงามจริง ๆ พวกเจ้าสองคนชื่ออะไรกัน” มือเรียวถูกท่านรองจับกุมนำทางเดินเข้าไปในเรือน แต่สายตาของท่านรองก็แอบชำเลืองมองสาวงามอยู่เป็นระยะ เหมือนเจ้าสหายอย่างหย่งสือก็แอบอมยิ้มยามเจอสาวงามเหมือนกันอีกด้วย

“ข้าน้อยชื่อ เว่ยอ้าย เจ้าค่ะ” เว่ยอ้ายเอ่ยก่อน นางเป็นพี่สาวของเสี่ยวอวี้

“ข้าน้อยชื่อ เว่ยอวี้ เจ้าค่ะ” เว่ยอวี้รอให้พี่สาวพูดก่อนจากนั้นค่อยแนะนำตัวเอง พวกนางสองคนเป็นพี่น้องมารดา บิดาเดียวกัน

“อืม ชื่อเพราะหน้าตางดงาม อายุเท่าไหร่กันแล้วเล่า” หลิวชิงถูกจับมือประคองจนเดินเข้ามาถึงห้องโถงด้านใน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ สตรีทั้งสองมองเห็นท้องของนางที่ใหญ่โต มิกล้าคิดว่าสามีของนางคือใครกัน เห็นว่ามีบุรุษสองคนจึงมิอาจจะคาดเดาว่าเป็นใคร

“ข้าน้อย เพิ่งจะสิบเจ็ดปีเจ้าค่ะ” เสี่ยวอ้ายเอ่ยฉะฉานน่ารักและยิ้มเก่ง อีกทั้งยังเรียบร้อย

“ข้าน้อยสิหกปีเจ้าค่ะ” เสี่ยวอวี้ติดจะขี้อายสักเล็กน้อย อะไรจะต้องให้พี่สาวนำก่อนเสมอ

................................................

ตำหนักองค์ชายสามกำลังลุกเป็นไฟด้วยเพราะชายารองนั้นรอสามีของนางมานานหลายเดือน เขาก็มิโผล่หน้ามาทักทายนาง ปล่อยให้นางนอนทุกข์ระทมร้องไห้ จนบัดนี้น้ำตาได้แห้งเหือดไปแล้ว หลงเหลือเพียงแต่ความแค้นที่ ท่านลุงของนางถูกกลั่นแกล้งให้ไปปราบกองโจรที่แดนเหนือ เพียงแค่เอ่ยเรื่องเด็กในท้องของหลิวชิง

“พระชายาใจเย็น ๆ เพคะ” นางกำนัลเอ่ย ปลอบใจเจ้านายที่ตอนนี้นางปาข้าวของเกลื่อนกลาดห้องไปหมด

“จะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไรกัน องค์ชายไม่เคยเหลียวแลข้า มัวแต่ไปสมสู่นางแม่ทัพสารเลวนั่น คอยดูเถิดข้าจะล้างแค้นนางให้ได้” ชายารองนั้นหาได้จิตใจดีเหมือนใบหน้าของนางไม่ นางสวมหน้ากากแสร้งเป็นสตรีแสนดี น่ารักอ่อนหวาน อ่อนแอขี้โรค เพื่อเรียกร้องความสงสารให้องค์ชายสามเหลียวแลนาง แต่แล้วเขากลับทิ้งให้นางอยู่ที่ตำหนัก มิเคยย่างกรายมาหา แถมยังได้รู้ว่าท่านแม่ทัพตั้งครรภ์ เพียงแค่นั้นองค์ชายสามก็เร่งออกจากตำหนักไปเมืองใต้ทันที

“พระชายา อย่าได้คิดทำเช่นนั้นนะเพคะ ฝ่าบาทโปรดปรานนางมาก” นางกำนัลเอ่ยในสิ่งที่ตนรู้มา

“โปรดปรานแล้วอย่างไร ข้าจะทำให้ฝ่าบาทเกลียดชังนาง” สายตาที่แน่วแน่นั้นทำให้นางกำนัลอดที่จะก้มหน้าไม่กล้าสบตาสักนิด สายตาของนางน่ากลัวยิ่งนัก หากองค์ชายสาม รู้เข้าจะมิจองจำพระชายาอยู่ในตำหนักจนสิ้นใจหรอกหรือ

ทางด้านพระชายาเอก กำลังนั่งดีดพิณเจ็ดสายอยู่ที่สวน นางมิได้สนใจสามีสักเล็กน้อย ยามเมื่อเขาเดินแล้วยกไหสุรามานั่งข้าง ๆ นาง“ท่านจะมาหาข้าทำไมกัน มิอยู่ที่จวนของนางเล่าเพคะ” นางเอ่ยประชดประชันเล็กน้อย ก่อนจะวางมือจากสายของพิณที่ดีดเมื่อครู่ เพียงแค่เห็นสามีมา นางก็อดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้

“ข้าอยู่ไม่ได้หรืองั้นข้าไปนะ” องค์ชายสามรู้ว่านางประชดเขาจึงแกล้งตามน้ำอยากรู้ว่านางจะโมโหเขาหรือไม่

“เพคะ เชิญเสด็จ” ดวงตาของคนช่างประชดเริ่มแดงก่ำแล้ว นางเสียใจยิ่งนักที่เขาทิ้งนางแล้วไปอยู่ที่แดนใต้ เพื่อดูแลท่านแม่ทัพ

“นางตั้งครรภ์ลูกของพระองค์ หม่อมฉันไม่ดีเองไม่ตั้งครรภ์สักที” นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่ตั้งครรภ์เสียที แต่งงานกับเขามาก็หลายปี ก็ยังไร้วี่แวว

“เอาละหยุดประชดกันเสียที เข้าตำหนักเถิดเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้” องค์ชายสามระอาใจไม่น้อย บรรดาพระชายาแต่ละคนของเขาก็มักจะมีหน้ากากสวมใส่อยู่เสมอ ไม่มีใครอยู่ด้วยแล้วสบายใจอย่างเช่นหลิวชิง

เพียงแค่นี้เขาก็คิดถึงนางขึ้นมาจับใจ เขาชื่นชอบที่นางห้าวหาญเก่งกล้ามากความสามารถ นำทัพออกศึกมิหวั่นว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นจะร้ายเพียงใดก็ตาม นางก็เอาชนะมาได้เสมอ

สตรีเช่นนี้สมควรจะเป็นพระชายาของเขา หาใช่พวกสตรีสวมหน้ากากไม่ ยามนี้เขาคิดถึงเพียงใบหน้าที่เฉยชาเย็นชาไร้ความรู้สึกอีกทั้งยังไร้ใจ

“เพคะ หม่อมฉันมิได้ประชด เพียงแค่น้อยใจ หากองค์ชายไม่สบายใจ เช่นนั้น” พระชายาเอกอยากจะบอกให้เขา เข้าไปในตำหนักนางจะบีบนวดปรนนิบัติเขาเอง แต่ไม่นึกว่านางยังพูดไม่จบเขาก็ตัดบทสนทนา และยังเอ่ยว่าจะไปพบท่านแม่ทัพนั่นอีก

“อืม ข้าไปหาชิงเอ๋อร์ดีกว่า อยู่แล้วก็มีแต่เรื่อง”

..................................................

แคว้นฉู่

พระตำหนักอันกว้างใหญ่ของไท่จื่อ ข้าวของเครื่องใช้นั้นดูหรูหราราคาแพงไม่น้อย ภายในตำหนักของเขานั้นไม่มีไท่จื่อเฟย เพราะตัวเขาเองมิคิดจะแต่งงานอภิเษกกับสตรีนางใด ก็ล้วนแล้วแต่ไม่ถูกใจ

ยามยกทัพออกศึกนั้นได้พบกับสตรีที่เป็นแม่ทัพ นางมิใช่ฝ่ายศัตรู แต่เป็นมิตรไมตรีกันมาช้านาน บิดาของเขาหรือฮ่องเต้แคว้นฉู่ ดื่มเลือดสาบานเป็นพี่น้องกับฮ่องเต้แคว้นโจว พยานในนั้นคือท่านแม่ทัพหยาง บิดาของหยางหลิวชิง เขาเพิ่งจะรู้ข่าวว่านางท้อง เขาจึงให้องครักษ์ไปสืบให้แน่ชัด ว่านางท้องจริงหรือไม่เท็จหรือลวงกันแน่

“รู้หรือไม่ว่าใครเป็นบิดาของเด็กในท้องของนาง” คืนนั้นเขาจำได้ดี แต่นางหนีเขาออกจากห้องไปโดยไม่ร่ำลา พอรุ่งเช้าเขาจะกลับแล้ว แต่ก็พบว่านางนอนกอดก่ายกับท่านอ๋องโจว ยังมีกุนซือ องค์ชายสาม แล้วรองแม่ทัพ จะให้เขาคิดอย่างไร พวกนั้นอยู่บนเตียงกับนาง สภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย หากไม่ใช่ว่าทำอะไรกัน เหตุใดเสื้อผ้าของนาง และพวกเขาจึงได้ไม่เรียบร้อยเล่า

เขาคิดว่านางและคนพวกนั้นลักลอบมีความสัมพันธ์แบบไม่ธรรมดา เขารู้สึกเจ็บปวดไปหมด ไม่คิดว่า เขาจะเป็นชายคนแรกของนาง แต่นางกลับทิ้งขว้างเขาอย่างไม่ไยดีแถมยังไปหาชายอื่นชื่นชมอีก แม้มิใช่คนเดียวแต่หลายคนนัก เขาจะทำใจได้อย่างไรกัน ถึงจะรู้ว่านางมีนิสัยกอดคอร่ำสุรากับสหายอยู่บ่อยครั้ง มิได้ถือตัวว่าเป็นสตรี มีความห้าวหาญราวกับบุรุษเพศ แต่เขารับไม่ได้จริง ๆ ที่นางทำให้เขาเหมือนคนด้อยค่า ไร้ตัวตนสำหรับนาง

“ทูลไท่จื่อ นางบอกว่า นางเมาจำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“หึ!!!” เขาหัวเราะอยู่ในลำคอ “นางเมา ใช่นางเมา เมามาก”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel