บท
ตั้งค่า

ตอนที่่3 เข้าเมือง

สามวันต่อมา

ยามเช้าตรู่

"ไม่ได้.. เจ้าพึ่งหายป่วยได้ไม่กี่วัน นอนพักสักหลายวันก่อนเถิดถึงค่อยมาพูดเรื่องนี้กับแม่" เสียงลี่จูตำหนิบุตรสาวตั้งแต่เช้า

วันนี้เป็นวันที่ลี่จูต้องลงเขาไปขายผักในเมือง หากแต่วันนี้บุตรสาวที่พึ่งหายป่วยมาหมาดๆ จะขอติดตามไปด้วย ลี่จูก็ให้รู้สึกไม่สบายใจนัก

ลี่ซือเอ่ยเสริมอีกแรง "เอาเถอะน่าท่านแม่ น้องรองก็อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างเท่านั้น ข้าเองก็จะไปด้วยเช่นกันจะเป็นอะไรไป"

ลี่ถังพยักหน้าหงึกๆ "ท่านแม่เจ้าค้าา ข้าอยากไปด้วย.. นะนะ รับรองว่าข้าไม่ไปเป็นภาระท่านแน่นอน เห็นหรือไม่ว่าพี่ใหญ่ก็จะไปด้วย ไม่มีปัญหาแน่นอนเจ้าค่ะ"

ลี่จูเห็นท่าทีของบุตรสาวเช่นนี้ จิตใจผู้เป็นมารดาก็พลันอ่อนระทวยไปแล้วกว่าครึ่ง "เอาเถอะๆ ไปก็ไป.. แต่เจ้าต้องรับปากแม่ก่อนว่าจะไม่ทำอะไรหักโหมจนเกินตัว" ลี่จูจ้องเขม็งด้วยสายตาจริงจัง

"เจ้าค้าา" ลี่ถังยิ้มยินดี

ลี่จูสังเกตบุตรสาวหัวจรดเท้า รู้สึกราวกับมีบางอย่างผิดแปลกไปจากเมื่อวาน แต่ก็ไม่รู้คือสิ่งใด นางเลิกสนใจลี่ถังและหันไปเอ่ยกับลี่ซือว่า "ซือเอ๋อเจ้าก็ไปเตรียมตัวได้แล้ว เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า"

"ขอรับ" ลี่ซือขานรับ

ลี่ถังมองหาร่างของบิดา แต่ก็ไม่เห็นจึงอดเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัยไม่ได้ "แล้วท่านพ่อเล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว?"

"ตาแก่นั่นบอกจะไปล่าสัตว์ในป่ากับอาหวัง ออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว คงเที่ยงวันกว่าจะกลับ"

"อ่อ..เจ้าค่ะ" ลี่ถังพยักหน้าเข้าใจ

อาหวังที่ท่านแม่เอ่ยถึงคงเป็นลุงหวังที่อาศัยอยู่บนเขาโน้นกระมัง?

พอเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลี่จู ลี่ถัง ลี่ซือ รวมทั้งนังหนูลี่หลินที่พึ่งสลึมสลือตื่นนอนก็ออกเดินทางเข้าเมือง ด้วยไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ลี่จูจึงเอาลี่หลินไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

บ้านของครอบครัวลี่ตั้งอยู่บนเนินเขาแถบชานเมือง ห่างจากเมืองกุ้ยฮวาซึ่งเป็นเมืองหลวงประมาน 2 ลี้ การเดินทางเท้าจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งลาดชันอยู่บ้างและมีก้อนหินน้อยใหญ่ตามไรทาง การก้าวเดินแต่ละก้าวจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ระหว่างทาง เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นจอแจ

"ถังเอ๋อเดินระวังๆ สิ แม่บอกให้อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ ไม่เห็นต้องลำบากมาด้วยเลย"

"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ จะให้ข้าอยู่บ้านอย่างเดียวก็น่าเบื่อแย่ อีกอย่างมีคนบอกว่า..ออกกำลังเยอะๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายนะเจ้าค่ะ"

"ใครบอกกัน? แม่จะไปทุบหัวมันประเดี๋ยวนี้ คนป่วยก็ต้องนอนพักผ่อนสิถึงจะถูก เจ้าก็อย่าไปเชื่อคำพูดผายลมพวกนั้นเชียว"

"เจ้าค้า เจ้าค้า" ลี่ถังจนใจ

"ท่านแม่ หลินเอ๋ออยากกินขนม!" ลี่หลินโพล่งขึ้นมา นางหนูขี่หลังลี่ซือมาตลอดทาง มีโคลงเคลงไปมาบ้างจนนางลืมตาตื่นอย่างเต็มที่

"รอให้ขายผักหมดก่อนแม่จะซื้อให้กิน"

"จริงๆนะ!"

"แน่นอนสิ แต่ต้องรอให้ขายผักหมดก่อนนะ"

ลี่ซือเอ่ยแทรก "น้องเล็กอย่าไปเชื่อท่านแม่ กว่าจะขายหมดไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าใด มากับพี่ใหญ่เจ้าสิ รับรองได้กินขนมแน่"

"เอ๋ ท่านแม่นิสัยไม่ดีโกหกหลินเอ๋อ" ลี่หลินบุ้ยปาก

ลี่จูค้อนสายตาใส่บุตรชาย "ซือเอ๋อวันนี้เจ้างดข้าวหนึ่งมื้อ"

ลี่ซือแทบสำลัก ไอแห้งๆ กล่าวว่า "น้องเล็ก ท่านแม่มีฝีปากการค้ายิ่งนัก คงใช้เวลาไม่นานก็ขายผักหมดตระกร้า ทีนี้เจ้าก็ได้กินขนมแล้ว เชื่อพี่ใหญ่เจ้าสิ"

ทั้งสี่คุยสัพเพเหระกันตลอดทาง

จนสุดท้ายก็มาถึงชุมชนย่านการค้าแห่งหนึ่งบริเวณเขตนอกของเมืองกุ้ยฮวา ถนนทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา บ้างมาจับจ่ายซื้อขาย บ้างมาเที่ยวเล่น

ทว่าครั้นเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่ลี่ถังทำคือการตรวจจับคลื่นพลังปรานของผู้ฝึกปราน นางพบว่าในรัศมีหนึ่งลี้ในเมืองแห่งนี้มีผู้ฝึกปรานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว กลิ่นอายปรานอันแข็งแกร่งอบอวลไปทั่วทุกที่ ส่วนมากจะเป็นผู้ฝึกปรานระดับปรานก่อเกิด ระดับที่สูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีเช่นกัน แต่นางย่อมไม่สามารถระบุระดับพลังของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนเพียงเพราะสัมผัสกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้ อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปรานระดับปรานก่อเกิดขั้นกลางเท่านั้น

จากนั้นลี่ถังเก็บจิตสัมผัส ก่อนจะลบกลิ่นอายผู้ฝึกปรานของตัวเอง ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใดสำหรับผู้ใช้อักขระเช่นนาง แม้ตอนนี้นางจะนับว่าเป็นผู้อยู่เหนือมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ตาม แต่กับผู้ฝึกปรานด้วยกันแล้ว นางก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากนัก ด้วยเหตุนี้ลี่ถังจึงต้องทำตัวให้โดดเด่นหรือสะดุดตาน้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงและความยุ่งยากที่จะตามมาในภายหลัง

ตอนนี้กลิ่นอายของลี่ถังไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาสามัญ หากผู้ฝึกปรานคนอื่นไม่ทันได้สังเกตดีๆ แล้วหละก็ เช่นนั้นคงยากนักที่จะรู้ถึงตัวตนของนางได้

จากนั้นทั้งสี่เดินไปยังแผงขายผักประจำ ลี่จูทำการจัดแจงพืชผักที่เก็บมาได้ลงบนแผงที่ปูด้วยผ้าผืนหนึ่ง

"ท่านแม่ ข้าจะไปที่ร้านขายสมุนไพรสักประเดี๋ยว ฝากน้องรองน้องเล็กด้วย" ลี่ซือเอ่ยกับมารดา

"อืม ไปเถอะ..ขายเสร็จแล้ว ได้เท่าไหร่ก็เอามาให้แม่เก็บไว้ เจ้าฟุ่มเฟือยเดี๋ยวเดียวก็ใช้หมด" ลี่จูเอ่ยขณะจัดแจงพืชผักตรงหน้า

"ขอร้าาบ" ลี่ซือรับคำ ก่อนจะหมุนกายเตรียมเดินจากไป

"เดี๋ยวสิ ข้าไปด้วยพี่ใหญ่" ลี่ถังเอ่ยรั้ง

ลี่ซือหันมาพร้อมกับเลิกคิ้วถาม "น้องรองเจ้าจะไปด้วยหรือ?"

"เจ้าค่ะ" ลี่ถังพยักหน้า ก่อนจะหันไปกล่าวกับมารดา "ข้าจะไปด้วยกับพี่ใหญ่ ท่านแม่ไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่เจ้าค่ะ"

ลี่จูคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย "ไปเถอะๆ แต่อย่ากลับมาช้านักหละ ซือเอ๋อเจ้าก็ดูแลน้องให้ดีๆ คนในเมืองยิ่งเชื่อใจไม่ค่อยได้อยู่ แล้วก็ระวังอย่าไปยั่วยุผู้ฝึกปรานเข้าเชียวหละ"

"เข้าใจแล้วท่านแม่" ลี่ซือรับคำมารดา ก่อนที่ทั้งสองจะเดินจากไป

ส่วนลี่หลินอยากไปด้วย แต่ก็โดนลี่จูถลึงตาใส่เสียก่อน เด็กน้อยจึงทำหน้าหงอยๆ แลดูน่าสงสารยิ่ง

ลี่ซือกับลี่ถังเดินลัดเลาะผ่านทางที่มีผู้คนพลุกพล่าน จนเดินลึกเข้าไปยังส่วนในของเมือง ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้ค่อนข้างจะเจริญรุ่งเรืองกว่าส่วนนอกมากนัก ทั้งบ้านเรือนและร้านขายของต่างๆ ก็ล้วนหรูหรามีระดับ อีกทั้งลี่ถังยังสัมผัสได้ว่ามีผู้ฝึกปรานอยู่ชุกชม

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เมืองแห่งนี้สถานะทางสังคมของคนธรรมดาและผู้ฝึกปรานไม่ได้ต่างกันเลย ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นผาสุข นี่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้นำที่มีแก่เหล่าคนธรรมดาสามัญนั่นเอง

ไม่แบ่งแยกชนชั้น ไม่ดูแคลนคนที่อ่อนแอกว่า..

ลี่ถังอดนึกชื่นชมไม่ได้ หากเป็นโลกก่อนที่นางจากมา คนธรรมดาที่ไร้พลังปรานก็ไม่ต่างจากเศษขยะไร้ค่า เป็นได้แค่ทาสรับใช้ของผู้เหนือกว่าเท่านั้น ภาพตรงหน้าที่มีผู้ฝึกปรานและสามัญชนเดินสวนกันไปมาเช่นนี้ นางย่อมไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงหน้าร้านสมุนไพรเล็กๆ แห่งหนึ่ง จะเรียกว่าร้านสมุนไพรอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะที่นี่ยังขายโอสถอีกด้วย

ร้านนี้มีนามว่า 'โจวสือ' ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าของร้านนั่นเอง

ลี่ถังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้ฝึกปรานด้านในร้าน ซึ่งเหนือกว่านางแต่ไม่รู้ว่าระดับใด ทว่าลี่ถังก็ไม่ได้สนใจมากนัก

ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านสมุนไพรโจวสือ และพบว่ามีชายชรานั่งเท้าคางคล้ายว่ากำลังหลับด้านหน้าโต๊ะคิดเงิน

ลี่ถังแอบสังเกตดูอีกฝ่ายเงียบๆ

ทว่าหลังจากนั้นก็ทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้...

"เถ้าแก่โจว เถ้าแก่โจว" ลี่ซือเอ่ยเรียกเถ้าแก่ร้านอยู่หลายคำ รออยู่นานชายชราจึงค่อยลืมตาขึ้นมาช้าๆ เอ่ยอย่างเบื่อหน่ายว่า "ใครมาเรียกข้าในเวลานี้กัน? ไปเสีย.. ร้านสมุนไพรโจวสือวันนี้ไม่รับลูกข้า"

ลี่ซือไม่ยินยอม "ได้อย่างไร เถ้าแก่ท่านจะใจร้ายใจดำไปหน่อยกระมัง ดูสิ..วันนี้ข้าได้สมุนไพรหายากมาขายให้ท่านด้วย ท่านต้องชอบแน่ๆ" ชายหนุ่มยิ้มมั่นใจในสมุนไพรของตัวเอง ก่อนจะล้วงเอาหญ้าสีแดงดุจเปลวเพลิงในกระเป๋าย่ามชูให้เถ้าแก่ร้านดู

ชายชราเหลือบมองลี่ซือเล็กน้อย เห็นหญ้าสีแดงในมือของชายหนุ่มแล้ว ทว่าสีหน้ากลับไม่แปลเปลี่ยน "เจ้าอีกแล้วหรือ?" เขาเห็นชายหนุ่มคนนี้มาก็หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เอาสมุนไพรมาขาย ก็มีแต่สมุนไพรที่ธรรมดาด้อยมูลค่า ไม่น่าสนใจเลยสักนิด ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้จะดีขึ้นมาหน่อยก็ตาม

จากนั้นชายชราขยับกายเชื่องช้า หยิบเงินออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะและวางลงบนโตะคิดเงิน "หญ้าเพลิงโลหิต 10 เหรียญเงิน วางมันไว้ตรงนั้นแล้วก็ไปเสีย อย่ามารบกวนเวลานอนของข้า" ชายชราโบกมือไล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนหลับตางีบอีกครั้ง

ทว่าปฏิกิริยาของชายชราช่างแตกต่างจากลี่ซืออย่างยิ่ง "10 เหรียญเงินเชียวหรือ?" สีหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี นับว่าเกินคาดหมาย อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เขาขายสมุนไพรเพียงต้นเดียวแล้วได้เงินเยอะถึงเพียงนี้

ทว่าลี่ถังหาได้สนใจแม้แต่น้อย นางเดินดูรอบๆ ร้านอย่างกระตือรือร้น มองดูพืชสมุนไพรต่างๆ และโอสถเม็ดมากมายบนชั้นวางด้วยความสนอกสนใจ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงโอสถระดับต่ำไร้คุณภาพในสายตานางของนาง ทว่าก็เรียกความสนใจจากลี่ถังได้ไม่น้อย เพราะสมุนไพรและโอสถบางชนิดนางก็ไม่รู้จัก จึงไม่แปลกที่คนชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่นนางจะรู้สึกสนใจ

ไม่นานสายตาของลี่ถัง ก็ไปสะดุดเข้ากับสมุนไพรต้นหนึ่งที่ตั้งเด่นสง่าอยู่บนแท่นไม้เข้าพอดี ซึ่งนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลึกลับที่แผ่ออกมา ลักษณะของมันคล้ายกับอสรพิษที่พันเลื้อยตามกิ่งไม้ หากแต่ตอนนี้ลี่ถังสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของมันช่างน้อยนิดแทบจะหายไปได้ทุกเมื่อ ทั้งยังแห้งเหี่ยวคล้ายว่ามันไกล้จะตายเต็มที ไร้ซึ่งสรรพคุณทางยาแม้แต่น้อย

"ต้นอสรพิษอัคคี" ลี่ถังพึมพำ สายตาจับจ้องสมุนไพรตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

ทว่ามีอีกคนที่ตื่นตัวกับคำพูดของนางเช่นกัน

ชายชราเฒ่าแก่ร้านพลันลืมตาตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน แม้เสียงของลี่ถังจะแผ่วเบา แต่ก็ไม่อาจเล็ดลอดหูของผู้ฝึกปรานอย่างชายชราไปได้ ชายชราหันไปมองร่างเล็กของเด็กสาวพร้อมกับหรี่สายตาแคบ แม้จะเพียงน้อยนิดแทบจับสัมผัสไม่ได้ แต่ในร่างกายของนังหนูคนนี้มีพลังปรานไหลเวียนอยู่ ชัดเจนว่านางคือผู้ฝึกปราน อีกทั้งยังสามารถลบกลิ่นอายผู้ฝึกปรานของตัวเองได้อย่างแนบเนียน ไม่แปลกเลยตอนที่นางเข้ามา เขาถึงไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด

แต่ชายชราก็รีบส่ายหัวทันที นังหนูคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก จนเขาเกือบลืมเป้าหมายเดิมของตัวเองไปเสียสนิท ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง "นังหนูเจ้ารู้จักต้นอสรพิษอัคคีด้วยรึ?"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel