บทที่ 1
ประตูห้องพักวีไอพีบนชั้นที่ยี่สิบสองของโรงแรมฮันนี่ สวีตถูกเปิดผ่างออกพร้อมกับร่างเพรียวเล็กในชุดราตรีสีส้มตัดกับผิวขาวลออตาวิ่งออกมา สีหน้าเร่งรีบจนวาลุกาแทบจะเรียกไว้ไม่ทัน
“ช่อม่วง เดี๋ยวก่อนสิ มาใส่ต่างหูก่อน” วาลุกาที่วันนี้อยู่ในชุดเกาะอกสีดำปล่อยชายยาวพลิ้วกับผมสั้นบ็อบเทสุดเปรี้ยวเดินออกจากห้องที่เปิดไว้สำหรับแต่งตัวมาหาคนตัวเล็กที่หยุดนิ่งมองกล่องกำมะหยี่ในมือของคนที่เคารพดุจพี่สาว
“เอาไว้ช่อม่วงไปใส่ในลิฟต์นะคะคุณแซนด์ นี่ห้าโมงกว่าแล้ว ห้องจัดงานไม่รู้เป็นยังไงบ้าง ช่อม่วงขอไปดูความเรียบร้อยก่อนนะคะ” พูดจบก็คว้าเอากล่องกำมะหยี่นั้นไปถือไว้
“เดี๋ยว...ขอบใจนะช่อม่วง” วาลุกากล่าวเสียงอ่อนด้วยรอยยิ้มที่ชณิกามาศเข้าใจดี...เข้าใจแม้กระทั่งความหมายของคำว่า ‘ขอบใจ’ ที่วาลุกาเอ่ย คนตัวเล็กเดินเข้าไปหาและโอบกอดหญิงสาวไว้พลางกระซิบปลอบ
“คุณหญิงมีพระคุณกับช่อม่วง ต่อให้เป็นเรื่องยากเย็นกว่านี้ช่อม่วงก็จะทำให้ค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะคุณแซนด์ ช่อม่วงขอตัวไปดูความเรียบร้อยในงานก่อนนะคะ” แล้วเจ้าตัวก็เดินดุ่ยๆ เลี้ยวไปทางซ้ายมืออันเป็นที่ตั้งของลิฟต์ด้วยความรีบร้อนจนวาลุกาต้องส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเอ็นดู...แกมเศร้า
หญิงสาวเมื่อครู่คือชณิกามาศ ลูกสาวเพียงคนเดียวของชัยพงศ์ หัวหน้าเชฟมือหนึ่งของโรงแรมที่เธอและครอบครัวรู้จักสนิทสนมเป็นอย่างดี เนื่องจากเชฟเป็นเพื่อนของพ่อเธอตั้งแต่เรียนมัธยมต้น ทว่า ต่างคนก็ต่างมีเส้นทางชีวิตแตกต่างกันไป พ่อเลือกที่จะเป็นทหาร ในขณะที่เพื่อนของพ่อเลือกที่จะเป็นเชฟมือทอง ผิดแต่เชฟไม่ได้เป็นเชฟอาหารแบบที่ใครต่อใครจินตนาการ หากเป็นเชฟผู้ชำนาญการด้านขนมไทยและของว่างชาววัง และแน่นอนที่สุดว่าโรงแรมของเธอก็มีความโดดเด่นในเรื่องนี้เช่นกัน จนกระทั่งเชฟเสียชีวิตลงเมื่อสามปีก่อน ชณิกามาศหรือยัยหนูช่อม่วงจึงมาทำหน้าที่แทนผู้เป็นพ่อจนกลายมาเป็นเชฟขนมหวานและของว่างชาววังที่มีฝีมือไม่แพ้พ่อเลยสักนิด
วาลุกาถอนหายใจด้วยรอยยิ้มจางๆ และเริ่มจะจางลงเรื่อยๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า สิ่งที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตของยัยหนูช่อม่วงของเธอตลอดไปเลยก็เป็นได้...และอาจไม่ใช่แค่ชีวิตของชณิกามาศเพียงคนเดียว