EP 1 [1-1]
สามปีที่แล้ว
สายไหม PART ?
เลิกงานวันนี้ฉันก็รีบตรงกลับบ้านทันทีโดยที่ระหว่างทางไม่ลืมแวะซื้อกับข้าวกลับเข้าไปด้วย
“แม่จ๋า ไหมกลับมาแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา แต่รองเท้าก็อยู่นี่หายไปไหนของเขาล่ะเนี้ย
ฉันวางกระเป๋าสะพายลงที่เก้าอี้หน้าทีวีก่อนจะเดินตามหาแม่ในบ้าน
“แม่จ๋า อยู่หนะ.. แม่!”
แม่นอนสลบหมดสติอยู่ที่ปลายบันได ฉันรีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรเรียกรถพยาบาลทันที ฉันทำได้แค่นั่งเรียกแม่อยู่ข้างๆ เท่านั้นไม่กล้าเข้าไปจับหรือขยับอะไรเพราะไม่แน่ใจว่าแม่อาจจะมีกระดูกส่วนไหนที่หัก ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึงและรับตัวแม่ออกไป
โรงพยาบาล?
“แม่เป็นยังไงบ้างคะหมอ”
หลังจากที่หมอตรวจอาการของแม่เรียบร้อยจนแม่ย้ายไปอยู่ที่ห้องพักฟื้น หมอก็เชิญฉันเข้าไปที่ห้องของเขา
“ผลเอ็กซ์เรย์ออกมาแล้วทางคนไข้ไม่มีกระดูกส่วนไหนแตกหรือหักนะครับ มีเพียงรอยฟกช้ำตามร่างกายเท่านั้น”
ฉันคงจะถอนหายใจได้อย่างโล่งใจกว่านี้ที่แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าสีหน้าของหมอไม่ได้ดูกังวลขนาดนี้
“แล้วแม่เป็นอะไรคะ”
“สาเหตุที่คนไข้หมดสติไป หมอเจอเนื้องอกในสมองซึ่งตอนนี้มันขยายใหญ่ขึ้นจนกดทับเส้นประสาทก็เลยอาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลันแล้วตกบันไดลงมาครับ”
ประโยคของหมอเหมือนมีค้อนปอนด์ตีเข้ามาที่หัวฉันอย่างจัง เนื้องอกในสมองเหรอ
“มะ มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ”
“เรื่องสาเหตุการเกิดมันมีหลายปัจจัยครับ อาจจะเป็นความเครียดสะสม หรืออะไรหลายๆ อย่างเรื่องนี้หมอก็ไม่แน่ใจเรื่องสาเหตุครับ แต่ถ้าทางญาติอยากจะเข้ารักษา หมอแนะนำให้ผ่าตัดให้เร็วที่สุดครับ”
“แล้ว.. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่คะ”
“เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวหมอจะให้ทางพยาบาลเช็คแล้วนำเข้าไปให้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะหมอ”
ฉันเดินออกมาจากห้องหมออย่างหมดอาลัยตายอยาก ชีวิตของฉันมีแม่อยู่แค่คนเดียวเท่านั้นฉันจะไม่ยอมให้เนื้องอกบ้าๆ นี่พรากแม่ไปจากฉันแน่นอน
“แม่จะต้องหายนะจ๊ะ”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
พยาบาลเปิดประตูเข้ามาพร้อมซองเอกสารสีขาวยื่นให้ฉัน
“นี่คือค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ ถ้าทางญาติตกลงที่จะรักษาก็เซ็นยินยอมที่เอกสารด้านล่างสุดได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ ขอฉันอ่านรายละเอียดก่อนนะคะ”
พยาบาลพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไป ฉันเปิดซองเอกสารและเดินเข้าไปนั่งอ่านที่โซฟาสำหรับคนเฝ้าไข้ เอกสารรายละเอียดขั้นตอนการรักษา ค่าผ่าตัดและรักษาพยาบาล รวมถึงจ้างพยาบาลพิเศษกรณีที่ไม่มีญาติอยู่เฝ้าคนไข้ได้ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าฉันคือหนึ่งในนั้นด้วย
“หะ หนึ่งล้าน”
หนึ่งล้านบาท ลำพังเฉพาะเงินในบัญชีฉันมีอยู่แค่สามแสนเท่านั้นเอง
เช้าวันต่อมา
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามมาหาฉันที่นี่”
ชายวัยเกือบห้าสิบปีใส่เสื้อสูทสีกรมเข้ม หันมาจ้องหน้าฉันด้วยความไม่พอใจที่ฉันบุกมาหาเขาถึงที่บริษัท
“หนูก็ไม่ได้อยากมาที่นี่หรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแม่..”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างเลื่อนขึ้นมาจุกที่คอฉัน ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นพ่อของฉันเองค่ะ และฉันก็ไม่ใช่ลูกเมียน้อยด้วยนะคะ ฉันเป็นลูกของเมียหลวง เมียหลวงที่ไม่มีเงิน ไม่มีอะไรที่สามารถทำให้พ่อสุขสบายได้ เขาก็เลยเลือกที่จะทิ้งฉันและแม่ไปแต่งงานใหม่กับสาวไฮโซ โดยที่เธอไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของฉันผ่านการมีครอบครัวมาก่อน
“ประภาเป็นอะไร”
“แม่เป็นเนื้องอกในสมอง ต้องผ่าตัดด่วน”
ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วคุยกับผู้ชายตรงหน้า
“ต้องการเท่าไหร่”
หึ! ฉันแอบหวังว่าเขาจะแสดงอาการเป็นห่วงแล้วถามไถ่
อาการของแม่มากกว่านี้บ้าง แต่จริงๆ ฉันควรจะชินได้แล้วเพราะตั้งแต่เขาทิ้งเราไป เขาก็ไม่เคยคิดจะสนใจอะไรเราสองคนอยู่แล้ว ครั้งนี้ถ้าฉันไม่จนปัญญาจริงๆ ก็คงไม่แบกหน้ามาหาเขาถึงที่นี่
“หนึ่งล้าน แต่คุณไม่ต้องกลัวนะคะ ยังไงหนูก็จะหาเงินมาชดใช้ให้คุณจนหมด”
“ฮ่าๆ เงินหนึ่งล้าน แกทำงานอะไรถึงคิดว่าจะหาเงินมาชดใช้ให้ฉันได้”
“หนูหามาให้คุณได้ก็แล้วกัน”
ก๊อกๆๆ
“ขออนุญาตครับท่าน”
“ว่าไง”
“เอ่อ คุณหญิงกำลังจะมาที่นี่ครับ”
“ไปรับหน้าไว้ก่อน”
ผู้ชายคนนั้นโค้งคำนับก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป ส่วนผู้เป็นพ่อหันมามองหน้าฉันก่อนจะถอดหายใจออกมา
“ฉันไม่มีเงินให้แกหรอก ต้องเซ็นเช็กร่วมกับคุณหญิง แกรีบกลับไปดีกว่า”
“แต่แม่..”
“ยังไงวันหนึ่งแม่แกก็ต้องตาย! จะตายช้าตายเร็วก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ฉันได้แต่ยืนอึ้งกับคำพูดของผู้ชายตรงหน้า เพียงเพราะไม่อยากให้ภรรยาใหม่ของเขารู้เรื่องของฉันและแม่ เขายอมให้แม่ฉันตายไปง่ายๆ ขนาดนี้เลยเหรอ
“คุณจำเอาไว้นะ วันหนึ่งคุณจะต้องเสียใจที่ทำร้ายฉันกับแม่ขนาดนี้”
ปัจจุบัน
หลังจากวันนั้นฉันสมัครเข้าทำงานในตำแหน่งเลขาของซีอีโอคนใหม่บริษัท ที.เอส.เค กรุ๊ป ทำไมถึงจะต้องเป็นบริษัทนี้น่ะเหรอเพราะเขาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่โดยตรงกับบริษัทของพ่อฉันยังไงล่ะ ถึงแม้ว่ารายละเอียดของงานมันจะยิบย่อยมากแต่แลกกับเงินเดือนที่สูงลิบแบบที่ไม่บริษัทไหนกล้าจ่าย ฉันก็ถือว่ามันคุ้ม
เป็นเลขาของเขาต้องเตรียมงานทุกอย่างในเนี้ยบไม่มีที่ติ ทุกเช้าฉันจะไปที่คอนโดของเขาเพื่อเตรียมชุดทำงาน และอาหารเช้า หลังจากนั้นก็เข้าบริษัทเตรียมคิวงานที่เขาจะต้องทำในวันนั้นๆ ตรวจเอกสารทุกอย่างจากทุกแผนกที่ส่งเข้ามาก่อนจะยื่นให้เขาเซ็น และกลับบ้านหลังเขา
ฟังดูแล้วอาจจะเรื่องมากไปหน่อย แต่เขาไม่เคยยุ่งกับฉันนอกเหนือเวลางาน อาจจะเป็นเพราะฉันเลือกที่จะแต่งตัวเป็นยัยเฉิ่ม ที่ใส่แว่นตาหนาเตอะ เสื้อตัวหลวมๆ และกระโปรงยาวเชยๆ จริงๆ เขาก็เคยมีปัญหากับการแต่งตัวของฉันอยู่บ้างนะ แต่มันก็จบลงเพราะ
‘ดิฉันทำงานด้วยสมองค่ะ ไม่ใช่เรื่องของการแต่งกายและที่ผ่านมาดิฉันก็ไม่เคยทำงานของบอสผิดพลาดหรือมีที่ติตรงไหน เพราะฉะนั้นมองข้ามเรื่องการแต่งกายของดิฉันไปดีกว่าค่ะ เพราะมันก็ไม่ได้มีผลต่อการทำงานอยู่แล้ว’
และอีกหนึ่งสาเหตุที่ฉันต้องเลือกแต่งตัวแบบนี้ในที่บริษัท เพราะในช่วงเวลากลางคืนนั้นฉันยังมีงานพิเศษอีกหนึ่งอย่างคือการ ‘รับจ้างเป็นแฟน’ หรือเพื่อนเที่ยวนั่นเอง นี่คืออีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ฉันเปิดเผยตัวตนจริงๆ ในที่ทำงานไม่ได้ เพราะมันต้องมีผลกระทบกับงานประจำของฉันแน่นอน บอสเพอร์เฟคชันนิสต์อย่างเขาต้องไล่ฉันออกแน่ๆ จะว่าไปฉันก็ไม่ได้อยากทำงานพวกนี้เท่าไหร่ แต่เพราะฉันมีค่าใช้จ่ายอีกมากมายที่รออยู่ และที่สำคัญที่สุดคือค่ารักษาพยาบาลของแม่ ฉันรับจ้างเป็นเพื่อนเที่ยวโดยผ่านการคัดกรองจากทาง ‘เจ๊หวา’ เอเจนซี่ของแอปเพื่อนเที่ยวแบรนด์หนึ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าที่จ้างฉันเป็นระดับดีจริงๆ ไม่ใช่พวกหื่นกามที่หวังจะมาลวงฉันไปทำมิดีมิร้าย
อัลฟ่า PART?
ผมกลับเข้าบริษัทในช่วงบ่ายด้วยอารมณ์ไม่ดีสุดๆ แต่งงาน ตลกชะมัด แค่เวลาทำงานทุกอย่างให้ทันและเรียบร้อยสมบูรณ์ ผมเองก็แทบไม่มีเวลานอนแล้วด้วยซ้ำ จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องพวกนั้นกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
ทันทีที่ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานอย่างไม่สบอารมณ์
ประตูก็ถูกเคาะเรียกจากคนด้านนอก ซึ่งไปเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเลขาที่ทำงานกับผมมาตลอดสามปี
“เข้ามา”
“ชามะลิยามบ่ายค่ะบอส เผื่อจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น”
“แค่ผมเดินเข้ามาคุณก็รู้แล้วเหรอว่าผมอารมณ์ไม่ดี”
เธอมักจะเดาใจผมถูกเสมอ ชนิดที่ว่าเพียงแค่ผมหันไปมองตาเธอก็รู้แล้วว่าผมอยากจะให้เธอทำอะไร ด้วยความทำงานเก่งของเธอก็เลยทำให้เราสามารถร่วมงานกันมาได้จนถึงตอนนี้
“เพราะว่าตอนนี้คิ้วของบอสแทบจะผูกกันเป็นปมแล้วค่ะ”
ผมค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม กลิ่นหอมจางๆ ของดอกมะลิทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาจริงๆ
“ช่วงบ่ายนี้บอสไม่มีคิวงานอะไรนะคะ จะกลับไปพักผ่อนก่อนไหมคะ”
“ผมมีเรื่องจะให้คุณจัดการให้หน่อย”
“ค่ะบอส”
ผมมองหน้าเธออีกครั้ง ตอนนี้กำลังลังเลว่าควรจะให้เธอจัดการเรื่องนี้ให้ด้วยดีหรือเปล่า
“เป็นเรื่องลำบากใจเหรอคะ”
“ไม่หรอก ผมแค่อยากให้คุณหาคู่เดทให้ผมหน่อย”
“หา!”