คัมภีร์ลับเจ้าสำนัก : 2
"แต่คัมภีร์นี้ยังมีเคล็ดวิชาอื่นอยู่ด้วย อาจารย์ป้ามิกลัวว่าข้าจะแอบฝึกหรือเจ้าคะ"
นางเพียงแค่พูดหยอกล้อเจ้าสำนักหยวนจีเท่านั้น ส่วนอีกคนแม้จะเลี้ยงดูนางแบบจริง ๆ จัง ๆ มาเพียงแค่สามปี แต่นางก็ดูออกว่าเนื้อแท้จิตใจของหลานสาวผู้นี้เป็นเช่นไร นางไม่มักใหญ่ใฝ่สูงถึงขั้นลักลอบฝึกวิชาอื่นเป็นแน่ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาหากความลับเรื่องตนเองส่งต่อคัมภีร์ให้ผู้อื่นจึงต้องกันไว้ดีกว่าตามแก้ที่หลัง
"เจ้ามิต้องกลัว อาจารย์ใช้วิชาพลางตาหน้าอื่นไว้หมดแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องฝึกมีเพียงเหมันต์สดับสวรรค์ขั้นชำระจิตเท่านั้น"
ว่ากันว่าคัมภีร์เหมันต์สดับสวรรค์คือคำภีร์เวทย์ที่เขียนโดยมหาเทพเบื้องบนแล้วส่งลงมายังโลกมนุษย์เพื่อให้เหล่านักพรตผู้ผดุงคุณธรรมได้ฝึกเอาไว้ปกป้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ซึ่งในคัมภีร์นี้มีทั้งหมด 5 ขั้น ได้แก่
ขั้นชำระล้าง ผู้ฝึกจะต้องล้างร่างกายให้สะอาดด้วยการแช่บ่อน้ำค้างพันปีในคืนจันทร์เต็มดวงเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มจึงจะสามารถใช้อาคมชำระล้างความชั่วร้ายที่มองไม่เห็นทั้งปวงได้
ขั้นชำระจิต เป็นการนั่งสมาธิโดยใช้ธาตุทั้งห้า น้ำ ไม้ ไฟ ดิน และทอง เมื่อจิตแน่วแน่ไร้จิตมารจะสามารถใช้อาคมชำระจิตให้กับผู้อื่นได้
ขั้นปัดเป่า เมื่อกายและจิตเชื่อมเป็นหนึ่ง จะสามารถใช้อาคมปัดเป่าความทุกข์ สงบจิตใจและส่งดวงวิญญาณผู้ล่วงลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้
ขั้นทำลาย เป็นวิชาขั้นสูง ผู้ที่ฝึกมาถึงขั้นนี้ได้จะต้องมีตบะและพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าและบริสุทธิ์ไร้มลทินใด ๆ แปดเปื้อน หากฝึกสำเร็จในทางดีจะสามารถขจัดมารปีศาจจนดวงจิตมารดับสลายไม่สามารถก่อเกิดความชั่วร้ายได้อีก แต่หากฝึกด้วยจิตที่ดำมืด จะกลายเป็นปีศาจร้ายเสียเอง
ขั้นนี้จึงน้อยคนนักที่สามารถฝึกสำเร็จได้
และขั้นสุดท้ายในคัมภีร์เหมันต์สดับสวรรค์คือขั้นดับขันธ์ ว่ากันว่าหากมีมนุษย์ผู้ใดฝึกสำเร็จจะสามารถทำลายได้แม้กระทั่งเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่เป็นเพียงแค่ข่าวลือเพราะยังไม่สีผู้ใดบรรลุถึงขั้นนี้ได้เลย แม้กระทั่งหยวนจี เจ้าสำนักคนปัจจุบันที่ฝึกบรรลุเพียงขั้นที่สี่ทำลายเท่านั้น!
"ขั้นชำระจิต ฟังดูเหมือนง่าย ความจริงต้องยากมากใช่หรือไม่เจ้าคะ"
หลี่ชิงชิงตะล่อมถามเผื่อเป็นแนวทางในการหาข้ออ้างไม่อยากฝึก
"หากเจ้ามองว่าง่ายก็มิใช่เรื่องยาก"
หยวนจีอ่านใจหลานสาวออกว่าต้องหาเรื่องออดอ้อนให้นางใจอ่อนเห็นใจไม่ต้องฝึกคัมภีร์นี้เฉกเช่นตอนที่ให้เข้าฌานที่ถ้ำเหมันต์ในคราแรก ๆ
"ข้าไม่ฝึกได้หรือไม่เจ้าคะ แค่เข้าไปหลบอยู่ที่ถ้ำเหมันต์ของอาจารย์เช่นทุกครั้งอาการข้าก็ทุเลาความปวดแสบปวดร้อนได้อยู่"
"เจ้าลืมไปแล้วหรือ ยิ่งเจ้าโตเป็นสาวมากเท่าใด ปราณอัคคีในตัวเจ้ายิ่งมีพลังทรมานเจ้ามากเท่านั้น ลำบากวันนี้เพื่ออนาคตของเจ้าในวันข้างหน้า"
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเชิงตำหนิแต่ก็มีความห่วงใยซ่อนอยู่ไม่น้อย
"ปีศาจตนใดกันนะที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้"
น้ำเสียงหลี่ชิงชิงมีแต่ความเคียดแค้น
ผ่านมาตั้งแปดปีแล้ว สุดท้ายนางก็ยังไม่รู้ว่าปีศาจที่ทำให้นางทรมานเช่นนี้คือตนใด และนางควรแก้แค้นผู้ใดให้มารดา
"เจ้าอย่าได้จองเวรแก่กันเลย คิดเสียว่าคือเคราะห์กรรมของเจ้าที่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้"
ลึก ๆ ในใจของหยวนจีไม่เชื่อคำพูดของหลี่ต้งเลยสักนิด นางไม่เชื่อว่าหลี่ชิงชิงจะเป็นลูกของหยวนชิงกับปีศาจแม้ร่างกายนางจะมีพลังของปีศาจก็เถอะ แต่เรื่องทั้งหมดยังสืบไม่กระจ่าง นางจะไม่มีวันปักใจเชื่อเพียงเพราะเรื่องเล่าจากปากคนผู้เดียวเช่นบิดาของหลี่ชิงชิงจนกว่าจะตามหาปีศาจที่เป็นเจ้าของพลังนี้ให้เจอแล้วเค้นคอถามลึกหนาบางตื้นของเรื่องนี้
"แปดปีแล้ว ข้าอยากลงเขาไปเยี่ยมท่านพ่อกับอาสี่จัง"
จากกันเมื่อแปดปีที่แล้ว ทั้งสองก็มิเคยมาเยี่ยมเยียนนางสักหน ทั้ง ๆ ที่มีตราหยกผ่านทางติดตัวแต่กลับไม่มีผู้ใดมาหานางสักคน
หรือว่าทั้งสองจะรังเกียจที่นางเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจไปแล้วจริง ๆ
เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยอาสี่หลี่จงก็ไม่คิดเช่นนั้นกับนางแน่ ๆ
"หากเจ้าอยากลงเขาต้องฝึกวิชานี้ให้สำเร็จแล้วอาจารย์จะให้เจ้าลงไปเยี่ยมสกุลหลี่"
ควรดีใจอยู่หรอก แต่ด้วยความสามารถนางตอนนี้ไม่รู้จะใช้เวลาฝึกกี่วันกี่เดือนกี่ปีกัน
"ท่านป้า... วิชานี้ฝึกยากนัก หากชิงชิงตัดความกังวล ละความเคียดแค้นไม่พ้น เหตุใดถึงจะฝึกผ่านกันเล่า"
เสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนให้ดูน่าสงสาร พร้อมทั้งบีบนวดอย่างเอาอกเอาใจ ทำเอาเจ้าสำนักหยวนจีใจอ่อนอีกตามเคย
"พอแล้ว ๆ สามวัน อาจารย์ให้เจ้าลงเขาไปเยี่ยมพวกเขาสามวัน กลับมาเจ้าต้องตั้งใจฝึกวิชานี้ให้สำเร็จ"
"ขอบคุณท่านป้า ข้ารักท่านที่สุดในโลกเลย"
หลี่ชิงชิงรีบโผเข้ากอดหยวนจีทันที นางว่าแล้วอาจารย์ป้าของนางต้องใจดีให้นางเพิ่มกำลังใจกลับมาฝึกวิชาจนได้
"อย่าลืม ห้ามเกินสามวัน เพราะคืนจันทร์เต็มดวงใกล้มาถึงแล้ว"
หลี่ชิงชิงพยักหน้ารับทราบในอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ที่นางโหยหาจากมารดามาโดยตลอด
"ชิงเอ๋อร์จะรีบไปรีบกลับเจ้าค่ะ"
เหตุใดครั้งนี้หยวนจีถึงรู้สึกใจคอไม่ดี แต่เป็นถึงเจ้าสำนักนางจะตระบัดสัตย์ตอนนี้มิได้