ตอนที่10 อย่าได้รักผู้ชายคนนี้เลย
ตอนเช้าฮ่องเต้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอ้อมกอดของเขามีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ ฮ่องเต้จูบลงบนหน้าผากของหญิงสาวคนนั้นอย่างรักใคร่ หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นก็ออดอ้อนฮ่องเต้จนได้ทำกิจกรรมอย่างว่าตอนเช้าอีกรอบจนเสร็จกิจทั้งสองกอดกันอย่างสุขกายสบายใจ
“ ฮ่องเต้ข้ารักท่าน ข้ารักท่านมากจริงๆ ” หญิงสาวพูด
“ ข้าก็รักเจ้า แต่เจ้าต้องเชื่อฟังข้าเพราะข้าชอบคนที่เชื่อฟังข้า ”
“ ได้เจ้าค่ะ ”
“ เจ้านอนพักต่อเถอะข้าจะไปแล้ว ไว้ข้าจะมาหาใหม่ ”
" เจ้าค่ะ "
หญิงสาวทำตัวอ่อนหวานอ่อนโยนว่านอนสอนง่าย
ฮ่องเต้หลังจากเดินออกมาจากห้องของหญิงสาว ก็รู้สึกผิดขึ้นมากับไป่เซนิดหน่อย
เดินไปยังห้องหอของไป่เซห้องที่เขาต้องเข้าห้องหอเมื่อคืนแต่เขากลับไม่เข้าหอไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น
ฮ่องเต้เคาะประตู สาวใช้ก็ออกมาเปิดให้ฮ่องเต้ตกใจเล็กน้อยในห้องมีสาวใช้และมีจางจิ้งอยู่ด้วย
เครื่องประดับหัวที่พังยับเยินหล่นอยู่ข้างล่างอีก ใบหน้าบวมแดงของไป่เซนั้นเขาเห็นชัดเจนเขาจึงเริ่มรู้สึกผิด
และรู้สึกเสียใจอยู่บ้างแต่ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ผู้เลือดเย็นไร้หัวใจคนเดิมที่ทุกคนรู้จัก จางจิ้งมองฮ่องเต้อย่างไม่พอใจ
ฮ่องเต้เข้ามาพูดว่า
“ พวกเจ้าออกไปก่อน ”
จางจิ้งและสาวใช้มองกน้าไปเซไป่เซพยักหน้าให้ออกไป พวกเขาก็เดินออกไปทันที
ฮ่องเต้เข้ามาใกล้ไป่เซด้วยความรู้สึกผิดนิดหน่อยก็พูดว่า
“ ซิ่วอิง ข้าขอโทษเมื่อคืนข้าดื่มหนักไปหน่อย ”
“ ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษข้ากรอก แค่ทำตามที่สัญญาที่ข้าเคยพูก็พอ ”
“ ซิ่วอิง เจ้าจะโกรธจะเกลียดข้าก็ได้นะแต่ข้าไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้ ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป่เซยิ่งเกลียดเขาเข้ากระดูกดำและรู้สึกขยะแขยง
“ ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้ข้ารู้ชะตาชีวิตของข้าแล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ต่างคนต่างอยู่ข้าเป็นพระชายาให้แค่ในนามเท่านั้น ข้ารังเกียจเจ้า เจ้าได้ครอบครองข้าสมใจอยากแล้ว พอใจแล้วหรือยัง ”
ไป่เซพูดความเย็นชาแผ่กระจายจนฮ่อเต้รู้สึกได้
“ เจ้าอย่าดื้อรั้นเย็นชาแบบนี้ได้มั้ย ซิ่วอิง ”
" หึ ท่านไม่จำเป็นต้องพูดดีกับข้าเพราะข้ารู้จักเจ้าหมดแล้ว
หลังจากนี้ต่อไปข้าจะไม่อยู่ในวังกลีงของเจ้า ข้าจะขอเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย
ข้าจะอยู่ในกองทหาร ฝึกซ้อมเท่านั้นเจ้าจะใก้ข้าได้หรือไม่ "
“ ซิ่วอิง เจ้าเป็นหญิง เป็นชายาเอกของข้าข้า…”
" ข้าไม่ต้องการ ! มันจบลงไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้าใจอ่อนชอบท่าน
หวังว่าหลังแต่งานเจ้าจะรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนแต่งงาน
แต่คิดไม่ถึงว่าใจข้ามันจะพังทลายลงในคืนเข้าหอ ข้าคิดว่าฮ่องเต้อย่างท่านจะรักษาคำพูด
ต่อไปนี้พวกเราไม่เกี่ยวข้องกันอีกรีบแต่งแต่งสนมแล้วหย่ากับข้าซะ
ฮ่องเต้พูดไม่ทันจบไป่เซก็พูดเสียงดังน้ำเสียงแข็งกร้าวตัดคำพูดของเขาทันทัน
คำว่าหย่า เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจเขา
ผู้หญิงคนนี้เพิ่งจะแต่งงานก็จะหย่าแล้ว แม้ข้าผิดก็จริง แต่ก็ไม่สมควรทำแบบนี้กับข้า
ฮ่องเต้พึมพำอยู่ในใจ
ไป่เซลุกเดินออกไปฮ่องเต้คว้ามือเธอไว้กอดเข้าที่เอวของเธอเธอยืนฮ่องเต้นั่งใบหน้าฮ่องเต้ซบเข้าไปที่หน้าน้องของเธอ
“ ปล่อยข้า ข้ารังเกียจเจ้าขยะแขยงเจ้า เกลียดเจ้า ที่ข้าพูดทั้งหมดเจ้าไม่เข้าใจอีกเหรอเจ้านี่ช่างหน้าด้านเกินคนจริงๆ ”
ฮ่องเต้โกรธจึงพูดขึ้นว่า
" ซิ่วอิงเจ้าจะเข้าใจถึงแม้ข้าจะนอนกับหญิงอื่นข้าก็มีชายาแค่คนเดียวและไม่แต่งกับใคร
ไม่รับใครเป็นสนมทั้งนั้นเจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ "
ไป่เซส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา
" หึ เจ้าคิดว่าไงล่ะ ข้าพูดทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว
พรุ่งนี้ข้าจะเขียนใบหย่าให้กับเจ้าเจ้าจะหย่าไม่หย่าข้าไม่สน "
“ ซิ่วอิง กว่าข้าจะได้เจ้ามาไม่ง่ายเลย ”
“ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่โกรธแล้ว พรุ่งนี้เซ็นต์ใบหย่าให้ก็พอเดี๋ยวเจ้าก็ต้องแต่งงานแล้ว ”
พูดจบไป่เซก็แกะมือฮ่องเต้ออกเธอเดินออกมาน้ำตาไหลพรั่นพรูออกมาทันที
ฮ่องเต้ไม่ยอมเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่เขาก็ช็อกไม่น้อย เมื่อผู้หญิงที่เขารักจะหย่ากับเขา
ทั้งวันไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ฮ่องเต้เลย
ตอนเช้าของอีกวัน ไป่เซได้ให้จางจิ้งเอาใบหย่าไปใก้ฮ่องเต้ และขอหนังสือสือส่งตัวไปค่ายทหาร
เมื่อไปถึงเขาได้ยินเสียงคราญของฮ่องเต้และผู้หญิงดังมาจากในห้อง จางจิ้งโมโหแทนคุณหนูของเธอมาก
รอจนทั้งสองเสร็จเรื่องอย่างว่าจางจิ้งก็ให้ทหารเข้าไปรายงานจากนั้นจางจิ้งก็เข้าไปส่งให้กับมือแล้วเดินออกมา
ฮ่องเต้เมื่อเห็นใบหย่าก็โกรธขึ้นมาทันทีแล้วไปยังห้องของไป่เซเปิดประตูเข้าไปโยนใบหย่าลงพื้นแล้วพูดว่า
“ ซิ่วอิง เจ้าคิดจะหย่ากับกับจริงๆเหรอ เจ้าคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ ที่ผ่านมาข้าใจดีกับเจ้ามากเกินไป ”
ด้วยความโมโหฮ่องเต้พูดพร้อมรุกเข้ามาจูบไป่เซเธอรู้สึกขยะแขยงจึงตบเข้าที่หน้าฮ่องเต้อย่างแรง
ฮ่องเต้ผลักเธอลงบนเตียงสัมผัสไปทั่วร่างกายเธอจูบเธออย่างรุนแรงไป่เซดึงปิ่นปักผมลงมาจี้ไปที่คอตัวเอง
“ ท่านกล้าแตะต้องข้าอีกข้าจะฆ่าตัวตายทันที ชีวิตนี้ข้าขยะแขยงเจ้าที่สุดเกลียดเจ้าที่สุด ”
ไป่เซพูดดวงตาแดงก่ำของเธอนั้นชัดเจนว่าเธอผิดหวังและเสียใจอย่างมาก ความจริงแล้วเธอตกหลุมรักฮ่องเต้ตั้งแต่วันที่ฮ่องเต้สัญญากับเธอและมีอะไรกับเธอในคืนนั้น ความสุขเกิดขึ้นไม่นานก็พังทลายลงอย่างเจ็บปวดทรมานจากการโดนสามีหักหลังในคืนเข้าหอ
“ ได้เมื่อเจ้าดื้อนักข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หายดื้อไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ”
พูดจบฮ่องเต้ก็เดินออกไปพร้อมกับสั่งทหารว่า
เฝ้าไว้ให้ดี เอากุญแจมาล็อกไว้ ข้าไม่อนุญาตใครก็ห้ามเปิด
ลูกสาวขุนนางออดอ้อนฮ่องเต้ขอไปอยู่ห้องใกล้กับตำหนักพระชายาฮ่องเต้ก็ตามใจนาง
กลางคืนเสียงคราญของชายหญิงดังมาถึงหูของไป่เซเธอกัดริมฝีปากร้องให้จนแทบน้ำตาจะเป็นสายเลือด
จางจิ้งกอดเธอไว้นอนอ้อมกอดแต่ละคืนเกมือนฝันร้ายจางจิ้งเกลียดแค้นฮ่องเต้และผู้หญิงคนนั้นและผู้หญิงทุกคนที่มานอนกับฮ่องเต้ไป่เซเศร้าเสียใจและถูกขังอยู่ในห้อง
ความทรมานซึมเข้าทำร้ายใจเธอทุกคืนวันร่างกายเริ่มอ่อนแอลงเพราะความเจ็บปวดทางใจ
สามเดือนต่อมาไป่เซมีอาการเวียงหัวและอ้วกบ่อย จางจิ้งจึงไปเชิญหมอมา หมอมาตรวจพบว่า
ขอแสดงความยินดีกับพระชายาด้วยท่านตั้งครรภ์ได้สามแล้ว
คำพูดนี้เหมือนมีดกรีดลงกลางใจของไป่เซเธอไม่อยากตั้งท้องลูกของฮ่องเต้เธอไม่ต้องการ
“ ท่านหมอท่านมียาแท้งลูกมั้ย ”
หมอหลวงตกใจอย่างหนักฆ่าเชื้อสายกษักติย์โทษถึงประหารชีวิตแน่นอนว่าหมอหลวงไม่โง่ทำแน่นอน
" ท่านหมอท่าช่วยเห็นใจข้าหน่อยเถิดขอสัญญากับท่านว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ท่านช่วยข้ากน่อยข้าไม่อยาก
เห็นลูกให้ลูกเกิดมาแล้วมีพ่อเลือดเย็นไร้หัวใจท่านหมอ " ไปเซร้องให้สะอึกสะอึ้น
หมอหลวงก็รู้และเข้าใจดีสงสารจับใจแต่ก็กลัวถ้าถูกจับได้จะถูกประหารเก้าชั่วโคตร
" พระชายาข้าไม่อาจรับปากได้ "
พูดจบหมอหลวงก็เดินจากไปสีหน้าหมอหลวงไม่ดีนักบุตรสาวขุนนางเห็นเข้าก็สงสัยจึงถามว่า
ท่านหมอหลวงท่านไปตรวจพระชายามาหรือ
“ หมอหลวงพยักหน้า ”ไม่พูดอะไร
“ เหตุใดท่านถึงมีสีหน้าไม่เีเช่นนี้ล่ะ ”
หมอหลวงไม่ใช่คนโง่ที่จะถูกหลอกถามเอาได้ง่ายๆเขาสงสารพระชายาขนาดนั้นมีหรือจะยอมให้พระชายา
ถูกคนอื่นรังแก จึงพูดไปอย่างกนักใจว่า
“ พระชายาป่วยหนักช่วงนี้ร่างกายอ่อนแอ ” พูดจบก็เดินจากไป
หญิงสาวยิ้มเยาะที่มุมปากอย่างชั่วร้าย
ไป่เซถูกขังมาสามเดือนมองไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน
พอว่ารู้ว่าตัวเองท้องยิ่งเศร้าเข้าไปอีกเธอคิดว่าเธอไม่มีทางเลือกแล้วและเธอไม่อยากอยู่ในวัง
อยากหนีไปอยู่ในแคว้นอื่นอย่างสงบแต่เธอต้องทำตัวดีอ่อนโยนให้ฮ่องเต้ให้อิสระเธอก่อน
ครบสามเดือนฮ่องเต้มาหาเธอที่ห้องแวบแรกที่เห็นฮ่องเต้เธอเสียใจหัวใจว่างเปล่าแววตาเย็นชาก็ปรากฏมาแวบหนึ่ง
แล้วเธอก็เปลี่ยนกลับในสีหน้าปกติทันทีพูดจาอ่อนโยนทำตัวอ่อนหวาน
“ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ ”
ไป่เซพูดพร้อมเข้าไปกอดฮ่องเต้ ฮ่องเต้ตะลึงอึ้งมองดูร่างผอมบางขาวซีดที่สั่นไปทั้งตัว
“ ซิ่งอิง เจ้าไม่สบายหรือ ” ฮ่องเต้ถามอย่างเป็นห่วง
เธอพยักหน้า “ เจ้าค่ะ "
ฮ่องเต้หันไปมองจางจิ้งแล้วถามว่า
“ เจ้าตามหมอหลวงมารึยัง ”
“ ตามแล้วเจ้าค่ะ หมอบอกว่าคุณหนูไม่สบาย อยู่แต่ในห้องนานเกินไปไม่ได้สูดอากาศข้างนอกเจ้าค่ะ ”
ฮ่องเต้หันมามองหน้าไป่เซใบหน้าอันงดงามนี้ทำให้ใจเขาสั่นไหวจึงประทับจูบลงบนริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยน
จนทำให้ไป่เซรู้สึกใจเต้นแปลกๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะอ่อนโยนแบบนี้
แต่เมื่อได้สติกลับมาจึงคิดได้ว่าเขาไม่ได้มีเธอคนเดียว เธอจึงผลักเขาออกเบาๆ
“ ฉีอิน ข้าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก ท่านพาข้าไปได้มั้ย ” ไป่เซพูดน้ำเสียงอ่อนโยน
“ อืมได้สิ ”
พูดจบฮ่องเต้ก็พยุงโอบไป่เซเดินออกไปชมสวนดอกไม้ ไป่เซรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
และนั่งลงบนโต๊ะหินกลางสวนดอกไม้
" ฉีอินที่ผ่านมาข้าขอโทษ สามเดือนที่ท่านขังข้าข้าสำนึกผิดแล้ว
ต่อไปข้าจะดีกับท่านอ่อนโยนกับท่าน "
แม้คำพูดจะฟังดูอ่อนโยนแต่เธอก็เน้นคำว่า ขัง ทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที
" ซิ่วอิง ข้าขอโทษเจ้าข้ารักเจ้า ข้าเพียงแต่ไม่อยากสูญเสียเจ้าใช้อารมณ์มากไปหน่อย
ข้าขอโทษที่ผิดต่อเจ้าต่อไปข้าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก "
ฮ่องเต้พูดเสียงอ่อนโยนและรู้สึกผิด
ทั้งสองนั่งกอดกันแสงแดดอุ่นๆกระทบลงมาบนตัวทำให้ไป่เซรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาฮ่องเต้โอบกอดเธอไว้อย่างอ่อนโยน
แม้เธอจะรู้สึกได้แต่เธอก็ไม่ใจอ่อนอีกแล้วผู้ชายคนนี้ทำลายเกียรติทำลายชื่อเสียงของเธอและทำลายความรักที่บริสุทธิ์ของเธอในคืนวันแต่งงานเธอจดจำสิ่งเหล่านี้มาตลอดสามเดือนที่เป็นชายาเธอเจ็บปวดทรมานทุกคืน
พอเธอคิดถึงตรงนี้น้ำตาก็เอ่อล้นออกมา ฮ่องเต้เห็นเธอร้องให้จึงถามขึ้นว่า
“ ซิ่วอิง เจ้าร้องให้ทำไม มีอะไรหรือเปล่า ”
ไป่เซส่ายหัว “ เปล่าข้าแค่รู้สึกเจ็บหน้าอกนิดหน่อย ”
ความจริงคือเธอเสียใจที่ผู้ชายตรงหน้านี้หลอกเธอมาตลอดปากบอกว่ารักแต่การกระทำนั้นชัดเจน
“ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ” ฮ่องเต้พูด
“ อื้ม ” ไป่เซพยักหน้าแววตาอ่อนโยน
ด้านหลังไกลออกไปหลังต้นไม้นางสนมสองคนและอีกฝั่งหนึ่งคือบุตรสาวของขุนนาง
กำลังจ้องจองไป่เซอย่างอิจฉาริษยาราวกับจะแผดเผาเธอทั้งเป็น
ช่วงหลังฮ่องเต้จะไปกาไป่เซทุกวัน ทุกครั้งที่ฮ่องเต้ไปหา ไป่เซจะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ให้ฮ่องเต้แตะเนื้อต้องตัวจนเกินเลยช่วยไม่ได้ไป่เซรังเกียจร่างกายฮ่องเต้ไปแล้ว แม้เด็กในท้องเธออยากจะเอาออกแต่ครึ่งหนึ่งก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอเธอจึงพยายามอ่อนโยนต่อหน้าฮ่องเต้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกขัง และง่ายต่อการหนี
บุตรสาวของขุนนางรู้สึกไม่พอใจที่ฮ่องเต้ใส่ใจคนป่วยคนหนึ่งอย่างไป่เซ ผ่านไปไม่นานบุตรสาวขุนนางก็เกิดอาการเหมือนคนแพ้ท้องและให้หมอหลวงมาตรวจมีฮ่องเต้คอยดูแลอยู่ข้างๆ หมอหลวงทำสีหน้าลำบากใจแล้วจึงยิ้มอ่อนพูดว่า
“ ยินดีด้วยท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่ ต้องดูแลร่างกายให้ดีพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าทำให้ตนเองคิดมากจะส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้ ”
หมอหลวงไม่รู้จะเรียกผู้หญิงตรงหน้านี้ว่าอะไรเพราะฮ่องเต้ยังไม่ได้ให้ฐานะแก่นางหมอหวงพูดจบก็จัดยาแล้วเดินออกไป
ฮ่องเต้ไม่รู้ดีใจหรือทุกข์ใจ โอบกอดหญิงสาวคนนี้ไว้ หญิงสาวทำหน้าเศร้าเหมือนทุกข์ใจอยู่ ฮ่องเต้เห็นดังนั้นจึงถามขึ้นว่า
“ เจ้าเป็นอะไรหรือเหตุใดเจ้าถึงทำสีหน้าเช่นนี้ ” ฮ่องเต้ถามอย่างกังวล
“ ข้าเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือนแต่งงาน หากว่าท้องก่อนแต่งแบบนี้จะขายหน้าพ่อแม่ข้าหรือไม่พ่อข้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ข้าเกรงว่าจะเสียหน้าเอาไม่เป็นที่เคารพนับหน้าถือตาของผู้คนอีก ข้ากังวลยิ่งเจ้าค่ะ ”
หญิงสาวทำเสียงออดอ้อนอ่อนโยนน่าสงสาร ฮ่องเต้เองก็หลงหญิงสาวคนนี้เอามาก
“ ไม่เป็นไร เจ้าอย่าคิดมากเลย ข้าจะให้ฐานะเจ้าข้าจะแต่งเจ้าเข้าวังแต่งตั้งเจ้าเป็นสนม ”
“ ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท ”
หญิงสาวดีอกดีใจที่จะได้แต่งงานกับฮ่องเต้รอยยิ้มนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งฮ่องเต้เองก็ไม่ได้สังเกตเธอแต่อย่างใด
เช้าวันต่อมา ไป่เซออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้กับลูกในท้องมีจางจิ้งคอยดูแลอยู่ข้างๆ
พอดีกับฮ่องเต้พาบุตรสาวของขุนนางออกมาเดินเล่นประคบประหงมเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนไปเซมองเห็นภาพนั้นเหมือนมีกรีดลงบนใจของเธอเธอเจ็บปวดใจจนสุดจะบรรยายผู้ชายที่เคยบอกว่ารักเธอคนเดียวกำลังดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงคนอื่นรักเหรอน่าขันสิ้นดี แม้เธอจะอ่อนโยนก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้มีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความรักความอ่อนโยนจากเธออีกน่าขันสิ้นดี สักพักเธอค่อยๆหายใจเบาๆตั้งสติขึ้นมาใหม่ลูบท้องของตนแล้วมองไปทางอื่นถอนหายใจแผ่วเบา
จางจิ้งโกรธจนหน้าดำหน้าแดงกำมือแน่นกัดฟันข่มอารมณ์ไว้ไป่เซเห็นเช่นนั้นจึงจับมือของจางจิ้งแล้วตบเบาๆพยักหน้าจางจิ้งก็คลายอามรมณ์ทันที
บุตรสาวขุนนางเห็นไป่เซตั้งนานแล้วที่เขามาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยแค่นั้นเองฮ่องเต้เองก็ตามใจนาง
“ ฝ่าบาทนั่นะระชายามิใช่หรือ ข้าอยากอยากรู้จักสนิทชิดเชื้อกับพระชายาอีกหน่อยแต่เข้ามาในวังก็ต้องรู้จักกันมากขึ้นฝ่าบาทพาข้าไปหาพระชายาหน่อยได้มั้ยเจ้าคะ ”
“ ได้สิถ้าเจ้าอยากรู้จัก ”
ฮ่องเต้พูดจบก็พาหญิงสาวเดินเข้าไปหาไป่เซ ไป่เซมองไปทางพวกเขาที่เข้ามาใกล้ไป่เซตกใจตะลึงในความกล้าของฮ่องเต้ผู้ไร้สัจจะ หญิงสาวคำนับไป่เซแล้วพูดขึ้นว่า
“ พระชายาช่างงดงามสมคำร่ำเสียจริงขนาดข้าเป็นหญิงแทบไม่อาจละสายตาได้หากเป็นชายคงจะยากยิ่งกว่า ช่างงดงามน่าเคารพบูชาไว้ในที่สูงส่งยิ่งนัก ”
คำพูดนี้นางต้องการมีปัญหากับไป่เซชัดๆคนโง่เท่านั้นที่จะฟังไม่ออกว่านางหมายถึงว่า ขนาดงามยังถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งไว้บนหิ้ง เป็นเครื่องปรดับวังเท่านั้น ส่วนจางจิ้งนั้นกำมือแน่นจนสั่นฮ่องเต้ไม่โง่ที่จะมองไม่เห็น
สีหน้าไป่เซเรียบเฉยยิ้มอย่างอ่อนโยนว่าแล้วพูดว่า
“ ข้าแม้จะงามมีศักดิ์เป็นชายาแต่จิตใจข้านั้นมิอาจสู้เจ้าได้ ฮ่องเต้ช่างตาถึงมองคนไม่ผิดจริงๆ ”
ไป่เซพูดเหน็บฮ่องเต้หน่อยๆ จางจิ้งยิ้มเยาะที่มุมปาก คุณหนูวาจาแสบใช่ย่อยฟังดูเหมือนจะชมแต่แท้จริงแล้วด่าคนชัดๆว่าผู้หญิงนี่จิตใจต่ำช้าแถมแถมเอ่ยถึงฮ่องเต้ว่าตาต่ำมองอะไรไม่ออก จากนั้นจางจิ้งก็เก็บสีหน้าอารมณ์โกรธก็คลายลง
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจควบคุมตนเองแทบไม่ได้กำมือแน่นและหลุดปากพูดออกไปว่า
" พระชายากำเหน็บว่าข้านั้นเป็นผู้หญิงจิตใจไม่ดีและฮ่องเต้มองคนไม่ชัดแจ้งหรือเจ้าคะ "
จุดประสงค์ของหญิงสาวคือต้องการให้ฮ่องเต้รู้ ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไป่เซใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกดทับความเกลียดไว้ที่ก้นบึ้นของหัวใจยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า
“ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนคิดมากเช่นนี้ ข้าเองก็เพิ่งจะเจอเจ้าจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ”
จางจิ้งฉวยโอกาสตอนนี้พูดแทรกขึ้น
“ คิดดีจิตใจก็ดีคนจิตใจชั่วจิตก็คิดชั่วอย่างที่คุณหนูเคยบอกไว้ใช่มั้ยเจ้าคะ ” จางจิ้งยิ้ม
ฮ่องเต้มองดูไป่เซ ยิ้มในใจ ซิ่วอิงเจ้าฉลาดจริงๆ ตัวเจ้าเป็นดั่งกุหลาบที่ต้องจับอย่างระมัดระวังแล้ววาจาเจ้าก็เช่นกัน ฮ่องเต้เห็นสีหน้าของหญิงสาวไม่ดีก็เกิดอาการเป็นห่วงจึงพูดว่า
" เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ออกมานานแล้วจะไม่สบายเอา "
ไป่เซได้ยินเต็มสองหูเธอเสียใจใบหน้าหม่นลงแวบหนึ่งแล้วกลับเป็นเหมือนเดิมแต่หญิงสาวนั้นดันเหลือบมองใบหน้าเธอก็ได้ใจใหญ่จึงนึกเรื่องท้องและแต่งงานออกได้ หญิงสาวยิ้มและพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ การออกมาเดินเล่นหมอหลวงบอกว่าดีต่อลูกในท้องมิใช่หรือ ”
“ อื้ม เอาที่เจ้าสบายใจ ลูกก็จะได้สบายใจด้วย ” ฮ่องเต้พูน้ำเสียงราบเรียบ
แท้จริงแล้วฮ่องเต้ก็อึ้งกับคำพูดของหญิงสาวคิดไปคิดมาถึงยังไม่อยากให้ไป่เซรู้เรื่องนี้แต่รู้ช้าหรือเร็วก็ต้องรู้เหมือนกัน
ไป่เซยืนแทบไม่ไหวแล้วพอได้ยินคำว่าลูกตอนนี้เธอไม่ไหวแล้วจริงๆถ้าอยู่ตรงนี้ต่อเธอระเบิดออกมาแน่แผนทั้งหมดก็จะพังไม่เป็นท่าจึงหันไปพูดกับจางจิ้งว่า
“ เราออกมานานแล้วกลับกันเถอะ ”
“ เจ้าค่ะ ”
ฮ่องเต้เองก็รู้ว่าไป่เซโกรธแม้สีหน้าจะเฉยแต่ในใจนั้นโกรธมากสัมผัสได้ถึงพลังลมปรานของไป่เซที่แผ่ออกมาแทบจะฆ่าคนได้แต่ฮ่องเต้ก็ชื่นชมในการเก็บอารมณ์ของไป่เซเอามากๆนับถือใจของชายาคนนี้ของเขา แต่ก็ไม่พูดอะไรเพราะห่วงเด็กในท้องของหญิงสาวที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไม่อยากให้หญิงสาวไม่สบายใจ
นางสนมอีกสองคนที่อยู่ไกลๆมองเห็นภาพนั้นใจหนึ่งก็สะใจอีกใจหนึ่งก็หมั่นใส้บุตรสาวขุนนางแม้พวกเขาสองคนจะเป็นสนมของฮ่องเต้แต่นานๆทีฮ่องเต้จะมานอนด้วย
“ จะว่าไปพระชายานี่ก็น่าสงสารนะ ฮ่องเต้นี่ก็เลือดเย็นกับพระชายาเสียจริงพาผู้หญิงที่ไม่มีฐานะไปอยู่ต่อหน้าพระชายาเป็นการเยาะเย้ยชัดๆ ” สนมคนที่หลี่พูด
“ ใช่เป็นข้านะไม่ทนขนาดนี้หรอกมันน่าเจ็บใจแทนยิ่งนัก ” สนมเฟยกล่าวต่อ
ไป่เซและจางจิ้งก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวก็พูดขึ้นว่า
" ฮ่อนเต้เดือนหน้าก่อนแต่งงานเจ้าไปส่งข้ากลับบ้านได้มั้ยเจ้าคะ "
“ อื้มได้ ข้าต้องดูแลลูกอยู่แล้วจะปล่อยให้เจ้ากลับไปคนเดียวได้ยังไงล่ะ ”
ไป่เซและจางจิ้งหยุดชะงัดไปหนึ่งก้าว จางจิ้งเห็นคุณหนูตัวเองไม่ไหวแล้วจึงกุมมือคุณหนูของเธอแล้วพาก้าวต่อไป
หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็ก็ยิ้มเยาะอย่างพอใจแล้วมองใบหน้าอันหล่อเหลาของฮ่องเต้
“ ฮ่องเต้ท่านต้องบอกเรื่องแต่งงานนี้กับพระชายานะเจ้าคะไม่งั้นข้าคงไม่สบายใจ ”
“ อื้มไม่ต้องห่วงข้าจะหาเวลาบอกเขาเอง ”
จริงๆฮ่องเต้ไม่ได้โง่เขารู้และมองออกว่าจุดประสงค์ของหญิงสาวคืออะไรเพียงแต่เขาไม่อยากขัดใจให้หญิงสาวไม่สบายใจเพราะเธออุ้มลูกเขาอยู่
ทางด้านไป่เซ เมื่อกลับถึงห้องไปเซสีหน้าดูไม่ดีเลยเธอพยายามไม่อ่อนแอจนจางจิ้งทนไม่ไหวจึงพูดว่า
“ คุณหนูอย่าฝืนเลยเจ้าค่ะ อยากร้องก็ร้องออกมาเลยระบายออกมาให้หมดแล้วเริ่มต้นใหม่กันนะเจ้าคะ ”
ไป่เซได้ยินดังนั้นจึงร้องให้ออกมาอย่างหนักทั้งสองกอดกันร้องให้อย่างเจ็บปวดทรมานใจเหมือนเข็มและกรีดทิ่มลงพร้อมๆกัน ขณะนั้นฮ่องเต้ที่กำลังมาก็ได้ยินเสียงร้องให้อย่างเจ็บปวดทรมานของไป่เซใจเขาก็เหมือนมีอะไรมาบีบที่ขั้วหัวใจของเขา เขายืนอยู่ด้านนอกลังเลว่าจะกลับหรือว่าจะเข้าไปเขาทำอะไรไม่ถูก ไป่เซร้องให้สะอึกสะอึ้นระบายความในใจกับจางจิ้งอย่างคนสิ้นหวังและหมดศรัทธาในรัก
" จางจิ้งข้าเจ็บปวดใจเหลือเกินข้าอยากเป็นข้าคนเดิมที่ไม่มีรัก
ข้าทรมานกับคำพูดของเขา เขาเคยสัญญาก่อนแต่งงานว่าจะมีแค่ผัวเดียวเมียเดียว จะรักข้าแค่คนเดียว
จะไม่มีผู้หญิงอื่น แล้ววันเข้าหอคืออะไรไปนอนกับผู้หญิงอื่น วันนี้คืออะไรเขาหยามศักดิ์ศรีข้า ทำลายความรักข้าใจข้าเจ็บปวดจนถึงทุกคืนวันตั้งแต่แต่งงานจนตอนนี้
ฮือๆๆ จางจิ้งช่วยข้าด้วยๆข้าเจ็บข้าอ่อนแอเหลือเกินข้าเกลียดเขาข้าอยากจะฆ่าเขา วันนี้เขาพาผู้หญิงมาเยาะเย้ยหยามข้าถึงต่อหน้าข้า ข้าเจ็บข้าเกลียดตัวเองที่หลงรักคนที่ไร้หัวใจเลือดเย็น ข้าเกลียดสายเลือดเขาในตัวข้า
ชาติหน้ามีจริงขออย่าได้พบเจอกับเขาอีกเลย หากแม้พบเจอข้าจะขอเกลียดผู้ชายคนนี้เข้ากระดูกดำ และหนีเขาไปให้พ้นๆ อย่าได้รักผู้ชายคนนี้อีกเลย "
คำพูดของไป่เซเหมือนซึมซับเข้าสู่ขั้วหัวใจแทรกซึมเขาไปถึงดวงจิตของเธอที่อยู่ลึกสุดของใจและเธอก็สลบไป
“ คุณหนู คุณหนู คุณหนู ” ใครก็ได้ตามหมอหลวงที " จางจิ้งร้องให้ตะโกนบอกคนข้างนอก
ฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ด้านนอก ได้สติกลับมาก็ให้คนไปตามหมอหลวงแต่เขาก็ไม่เข้าไปเขารู้สึกผิดต่อไปเซ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารับปากเขาทำให้เธอไม่ได้สักอย่างและทิ้งเธอในคืนแต่งงาน ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้รักเขาแล้ว
เขาชนะใจเธอได้แล้วแต่ตัวเขาเองนั้นกลับทำร้ายจิตใจเธอ ห้องเต้เดินกลับไปที่ก้องจมอยู่กับความคิดตนเอง
ไม่ให้ใครเข้าพบ
หมอหลวงเมื่อได้ยินว่าพระชายาสลบไม่รู้สึกตัวก็ตื่นตระหนกด้วยความเป็นห่วงจึงรีบไปทันที
ไปถึงตรวจดูชีพพจร พบว่าพระชายานั้นร่างกายอ่อนแอมาก กลัวจะส่งผลกระทบไปถึงเด็กในท้องจึงให้คนไปทูลฮ่องเต้แต่จางจิ้งบอกว่า
“ ไม่ต้องให้ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้รวมถึงพระชายาท้องด้วยหากท่านหมอเห็นใจคุณหนูข้าขอท่านอย่าได้เปิดเผยเรื่องนี้กับใครแค่ท่านช่วยให้ร่างดายคุณหนูข้าฟื้นตัวภายในเดือนนี้พอ ”
หมอหลวงคิดหนักแต่ในใจเรื่องนี้ฮ่องเต้ควรรู้หากผิดพลาดเขาจะรับผิดชอบไม่ไหวคิดได้เช่นนั้นหมอหลวงก็พยักหน้าจัดยาแล้วเดินจากไป
หมอหลวงเดินออกไปไม่นานทหารองครักษ์ก็เชิญตัวเขาเข้าไปในห้องของฮ่องเต้
" พระชายาเป็นยังไงบ้าง " ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างกังวล
“ เอ่อ…ดีขึ้นแล้วพะยะค่ะแต่ร่างกายพระชายาช่วงนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษหน่อย ”
หมอหลวงก้มหน้าพูดและสั่นเทาเล็กน้อยฮ่อเต้เห็นว่าหมอหลวงวันนี้แปลกๆจึงถามว่า
“ ท่าเป็นอะไรรึ มีอะไรหรือเปล่า ”
“ มะไม่มีอะไรพะยะค่ะ ช่วงนี้ข้าแก่ลงทุกวันเส้นสายกระตุกบ่อยเลยสั่นง่ายหน่อย ”
“ เห็นทีเดือนหน้าจะต้องออกจากวังไปพักผ่อนเสียแล้ว ”
ความจริงคือเขาจับประเด็นคำพูดของจางจิ้งได้ว่าให้รักษาพระชายาให้ร่างกายฟื้นฟูภายในเดือนนี้
หมอหลวงไม่ใช่คนโง่พอจะเดาออกว่าจางจิ้งและพระชายาเตรียมจะทำอะไร
เขาเห็นความทุกข์ทรามานของพระชายามาไม่น้อยดังนั้นหากพระชายาไม่อยู่เขาก็อยู่ไม่ได้เช่นกันอีกอย่างพระชายาท้องสู้ตามดูแลพระชายาไม่ดีกว่าหรือ
ในใจของหมอหลวงนึกอยากจะบอกความจริงบางอย่างจึงพูดขึ้นว่า
“ ฝ่าบาท ” ยังไม่ทันได้พูดต่อประตูก็ถูกเปิดออก
“ อ้าวท่านหมอหลวงก็มาอยํ่นี่เหรอ ฝ่าบาทไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ ”
หญิงสาวเอ่ยถาม
“ เปล่าหรอกข้าไม่เป็นอะไร เจ้ากลับไปพักเถอะ ” ฮ่องเต้พูด
“ ข้าอยากมาดูแลปรนนิบัตฝ่าบาทเจ้าค่ะ ”
ฮ่องเต้ให้หมอหลวงออกไปแต่ก็ลืมถามเรื่องเกี่ยวกับไป่เซอีกเรื่องหนึ่งคิดไปมาค่อยถามทีหลังก็ได้
ฮ่องเต้รู้อาการของไป่เซเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย หญิงสาวเข้ามาออดอ้อนฮ่องเต้ดันฮ่องเต้ไปที่เตียงแล้วนั่งลงบนตักของฮ่องเต้จูบเข้ากับฮ่องเต้อย่างดูดดื่มร้อนแรง ฮ่องเต้ตอบสนองอย่างเร็วผลักลงบนเตียงทันที
ก่อนวันแต่งงาน
ฮ่องเต้ได้ไปส่งตัวหญิงสาวกลับบ้าน
****ฝากติดตามด้วยนะ****