บทที่ 6
"เธอเป็นอะไรหรือเปล่าชม" เพื่อนสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนก่อนมานั่งทานข้าวแล้ว ว่าชมจันทร์ดูเหม่อลอยผิดปกติ
"พวกเธอพอจะรู้ไหมว่าบริษัทไหนเขารับสมัครพนักงาน"
"เธออย่าพูดแบบนั้นสิ พวกฉันใจหายนะ"
"ฉันคงต้องหางานอื่นไว้รองรับ"
"เธอมีแค่วุฒิมัธยมไม่ใช่เหรอ"
"ใช่ หรือฉันจะไปขอเป็นแม่บ้านโรงพยาบาลดี" อย่างมากเธอก็ได้อยู่ใกล้แม่คอยดูแลท่าน
"ไม่เอาอย่าทำแบบนั้นเลย"
"ใช่..ทุกปัญหามันต้องมีทางออกสิ"
"แต่ฉันหาทางออกไม่เจอ" อุตส่าห์ใจจดใจจ่อรอสิ้นปี เพราะผลงานที่เธอทำไว้ก็มีหลายชิ้น คงได้โบนัสกับเขาบ้าง แต่นี่ ดูชะตากรรมตัวเองแล้วคงอยู่บริษัทนี้ไม่ถึงสิ้นปีแน่
"อร่อยไหมครับ" ขณะที่ทั้งสามทานข้าวและนั่งคุยกันอยู่ ชาคริตก็ได้เข้ามาร่วมโต๊ะด้วย
"......" วิเวียร์และอันนามองมาที่ชมจันทร์แทบจะพร้อมกัน
ส่วนชมจันทร์ตักข้าวใส่ปากแล้วเคี้ยวแบบไม่สนใจ
"ผมซื้อของกินมาฝากด้วย" ว่าแล้วชาคริตก็วางถุงที่ซื้อมาลงตรงหน้าชมจันทร์ "คุณสองคนจะทานด้วยก็ได้นะครับ ผมซื้อมาเผื่อด้วย"
"ขอบคุณค่ะ แต่พวกเราใกล้จะอิ่มแล้ว" ตอนที่วิเวียร์พูดมองไปก็เห็นว่าเพ็ญพักตร์กับกลุ่มหัวหน้ามองมาเช่นกัน วิเวียร์ก็เลยสะกิดอันนาและชมจันทร์ดู
"เธอว่าพวกนั้นกำลังพูดถึงเราไหม"
"คงไม่พูดถึงเราหรอก แต่ว่าพูดถึง.." อันนาเหลือบตามองไปดูชาคริต แล้วก็มองมาที่ชมจันทร์
"ฉันอิ่มแล้ว เราไปกัน" ชมจันทร์วางช้อนแล้วก็ลุกขึ้น โดยไม่สนใจชาคริต ไม่ใช่แค่ไม่สนใจสิเหมือนว่าชาคริตไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ
ชาคริตที่ยังคงนั่งอยู่โต๊ะนั้นคนเดียว มองจ้องถุงที่ตัวเองซื้อมาให้แต่ผู้หญิงไม่รับ ..ไม่ต้องมองไปรอบๆ ตัวก็พอจะรู้ ว่าตอนนี้สายตาที่มองมาคงเกือบทั้งโรงอาหารนี้แน่
เย็นวันเดียวกัน.. ที่โรงพยาบาล
"เมื่อกี้คุณพยาบาลว่าอะไรนะคะ?"
"ญาติคนไข้ย้ายคนไข้ไปที่ห้องพิเศษแล้วค่ะ"
"ญาติคนไข้ที่ไหน คุณก็รู้ว่าแม่มีแค่ฉันคนเดียว"
"แต่คนไข้ยินยอมที่จะย้ายนะคะ"
"แล้วแม่ย้ายไปอยู่ห้องไหนคะ" ในใจคิดไปมากมายว่าคนคนนั้นคือใคร หวังว่าคงไม่ใช่คนที่เธอกำลังคิดอยู่หรอกนะ
พอรู้ว่าแม่ถูกย้ายไปที่ห้องไหนชั้นไหน ชมจันทร์ก็รีบไปที่นั่น
"แม่คะ"
"มาแล้วเหรอลูก" เดือนกำลังนอนดูทีวี พอเห็นว่าลูกสาวเข้ามาก็หันไปยิ้มหวานให้
"ใครเป็นคนย้ายแม่มาห้องนี้คะ"
"ของว่างมาแล้วครับคุณแม่"
"คุณชาคริต!?" มันเป็นแบบที่เธอคิดไว้จริง นี่พวกเขาจะไม่จบใช่ไหม
"อ้าวคุณมาแล้วเหรอครับ ผมกำลังเตรียมของว่างให้คุณแม่อยู่เลย"
"ถ้าหนูไม่เข้าใจอะไรกับพี่เขา ก็พูดกันดีๆ นะลูก"
"ไม่เข้าใจ?" นี่แสดงว่าผู้ชายคนนี้คงมาพูดตลบตะแลงอะไรให้แม่ฟังแน่เลย
"ผมว่าคุณแม่ทานของว่างก่อนดีกว่าครับ ส่วนเรื่องค่ารักษาและค่าห้องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมคุยกับคุณหมอแล้ว"
"ฉันขอคุยกับคุณหน่อยค่ะ" พูดจบชมจันทร์ก็เดินนำหน้าออกไปก่อน
"เดี๋ยวผมมานะครับคุณแม่"
"คุยกันดีๆ นะลูก"
"ครับ" ก่อนไปชาคริตเอื้อมมือมาขยับผ้าห่มขึ้นให้กับแม่ของเธอเล็กน้อย
หน้าห้อง..
"คุณกำลังทำอะไร"
"ผมรู้ว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ ผมยินดีช่วยทุกอย่าง"
"แน่ใจเหรอว่าถ้าฉันขอแล้วคุณจะยอมช่วยฉัน"
"ยอมสิครับ"
"ถ้างั้นฉันขอให้คุณไปไกลๆ ได้ไหม จะไปตายที่ไหนก็ไป"
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ชาคริตถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ สายตาเขามองไปดูรอบๆ เพราะคนที่นั่งอยู่แถวนั้นต่างก็มองมา
หมั่บ
"โอ๊ย" จังหวะที่เธอกำลังจะเดินกลับเข้าห้องก็ถูกชาคริตกระชากแขนไว้
"เธอแน่ใจแล้วเหรอ รู้ไหมว่าค่าใช้จ่ายที่ย้ายแม่เธอและเปลี่ยนหมอรวมแล้วเท่าไร"
"อะไรนะ? คุณสั่งให้เปลี่ยนหมอด้วยเหรอ"
"ใช่..หมอจากต่างประเทศด้วย เธอมีปัญญาจ่ายไหมล่ะ"
เพี๊ยะ! มือข้างที่ว่างอยู่สะบัดฟาดใส่ใบหน้าของชาคริตแบบหยุดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
"คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้"
"ใช่ผมไม่มีสิทธิ์ แต่แม่คุณก็ยื่นสิทธิ์นั้นมาให้ผม" คนไข้ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ก็เลยมีสิทธิ์ให้ใครก็ได้เป็นเจ้าของไข้ ..เดือนสงสารลูกสาวที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ คิดว่าพอเห็นทางที่จะช่วยลูกสาวได้ ก็เลยรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ และคิดว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นคนดี
แล้วจะทำยังไงดี จะพูดเรื่องนี้กับแม่ก็ไม่ได้ เพราะท่านคงมีความหวัง ทำไมเธอจะไม่รู้เรื่องเปลี่ยนหมอ เพราะคุณหมอที่ทำการรักษาคุยเรื่องอาจารย์หมอจากต่างประเทศให้เธอฟังแล้ว แต่เธอจะเอาปัญญาไหนจ่ายค่ารักษาให้แม่
"ยอมฉันสิ แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง"