บทนำ 1
ในแวดวงนักออกแบบเสื้อผ้า จะมีอยู่เด็กจบใหม่คนหนึ่งเป็นที่ถูกกล่าวถึงโดยถ้วนหน้า เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องดีสักเท่าไหร่ และเรื่องราวของเธอก็มักจะถูกคนในวงการยกเป็นตัวอย่างที่ ‘ไม่ดี’ ให้แก่รุ่นน้องฟังอีกต่างหาก
เธอคนนี้ชื่อพลอยขวัญ
ครอบครัวของพลอยขวัญมีกินมีใช้จากธุรกิจสุจริต พ่อกับแม่เลี้ยงดูเธอมาอย่างดี ดูแลรักใคร่ อบรมสั่งสอนและไม่มีข้อบกพร่องใดๆ พลอยขวัญจึงไม่เคยต้องทุกข์ร้อนหรือลำบากลำบนแม้แต่น้อย จะเรียกว่าเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ของครอบครัวเลยก็ว่าได้ ความฝันสดใสของเธอมีอยู่สองอย่าง นั่นคืออยากให้โลกนี้มีแต่ความสุข และอยากจะเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาบาร์บี้
“สักวันพลอยจะทำเสื้อผ้าแบรนด์ของตัวเอง ทุกคนจะได้ใส่ชุดสวยๆ ที่พลอยเป็นคนออกแบบค่ะ”
พลอยขวัญมักจะบอกใครต่อใครด้วยรอยยิ้ม แววตาเป็นประกายมุ่งมั่น สมัยเด็กๆ ตั้งแต่จำความได้ พลอยขวัญชอบไปร้านหนังสือในห้างแถวบ้านมาก และใช้เวลากับหนังสือที่ชอบซึ่งส่วนมากจะเป็นนิตยสารต่างประเทศ เวลาดูก็จะศึกษารูปแบบเสื้อผ้าสวยๆ และจินตนาการว่าเสื้อผ้าตัวนั้นน่าจะทำแบบนี้ ตัวนี้ก็น่าจะทำแบบนั้น พลอยขวัญจะเก็บเงินซื้อนิตยสารรายเดือนนั้นมาสะสม และร่างแบบเสื้อผ้าไว้ในสมุดส่วนตัว ลงสีสันสวยงาม
อยู่มาวันหนึ่ง ตอนนั้นพลอยขวัญอายุได้สิบหกปี หลังเลิกเรียนเธอแวะไปที่ร้านขายขนมหวานในตลาดเพื่อซื้อไปฝากพ่อกับแม่ ขณะที่กำลังจะจ่ายเงินก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
บริเวณนอกร้านมีผู้คนพลุกพล่าน เจ้าของร้านกับเจ้าหน้าที่รปภ.ยืนล้อมกรอบอะไรบางอย่างอยู่
ด้วยความสงสัยพลอยขวัญจึงแทรกตัวผ่านผู้คนที่ยืนมุงเข้าไปดู พบว่ากลางวงล้อมนั้นมีเด็กชายแต่งตัวมอมๆ ชุดแต่งกายอาจจะเก่าไปบ้าง แต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กชายก็สะอาดสะอ้านดี แววตาเด็ดเดี่ยวทระนง พลอยขวัญรู้สึกได้ถึงศักดิ์ศรีของเด็กคนนี้ ไม่รู้ทำไมถึงไม่มีใครสังเกต
“เด็กขี้ขโมย จับได้คาหนังคาเขาแล้วยังไม่ยอมรับอีก! จับส่งตำรวจเลย”
“ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ทำ” เด็กชายยืนกรานเสียงสั่นเครือ “ผมไม่ได้ขโมย”
“ยังจะปากแข็งอีก ก็เห็นๆ อยู่ว่าแกเข้าไปในร้านแล้วเดินออกมา เอาของในร้านฉันคืนมา พ่อแม่อยู่ไหน ไปตามตัวมารับผิดชอบเลย”
“ผม... ไม่มีพ่อไม่มีแม่”
“ต๊ายย มิน่าล่ะ ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน ถึงได้ทำสันดานขี้ขโมย”
เจ้าของร้านชี้นิ้ว ร้องสั่งให้เจ้าหน้าที่พาไปสถานีตำรวจ เด็กชายกำมือแน่น ยืนกรานท่าเดียวว่าเขาไม่ใช่ขโมยอย่างที่กล่าวหา เจ้าของร้านเสียงดังไม่ใช่น้อยๆ พริบตาเดียวก็มีคนยืนมุงมากมาย ต่างมองมาที่เด็กชายแล้วเห็นตรงกันว่าสมควรจับส่งตำรวจจะได้เข็ดหลาบ ไม่ไปทำนิสัยเสียที่ไหนอีก
“ตัวแค่นี้ก็เป็นขโมยซะแล้ว โตไปจะขนาดไหนเนี่ย เด็กเหลือขอจริงๆ”
“ดูสายตาสิ ก้าวร้าวจริงๆ ไม่มีสำนึกเลย”
“ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ขโมย!”
“ถ้าไม่มีพ่อแม่ก็โทรตามญาติมา ใครเป็นผู้ปกครองล่ะ เอาเบอร์มา” เจ้าหน้าที่รปภ.จะฉวยคอเสื้อเด็กชายไว้ ทว่าพลอยขวัญแทรกตัวผ่านวงล้อมเข้าไปโอบกอดเด็กชายเสียก่อนท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
“หนูเป็นพี่สาวของน้องคนนี้เองค่ะ” พลอยขวัญดึงเด็กชายไปไว้ข้างหลังอย่างปกป้อง “น้องหนูหยิบฉวยอะไรมาหรือคะ”
“ก็ลองถามน้องเธอดูเอาเองสิ”
“ได้ค่ะ ถ้าน้องหนูทำจริงๆ หนูยินดีรับผิดชอบค่ะ แต่ถ้าน้องหนูไม่ได้ทำ พี่ต้องขอโทษน้องหนูนะคะ” พลอยขวัญย่อตัวลง สองมือจับไหล่เล็กๆ ไว้แล้วถาม “น้องทำจริงๆ หรือเปล่าจ๊ะ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้ทำ”
“ค้นตัวดูสิ” ไทยมุงออกความเห็น ทุกคนต่างเห็นด้วย พลอยขวัญจึงถามเจ้าของร้านว่าสินค้าที่หายไปคืออะไร
“ฉันวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ หันหน้ามามันก็หายไปแล้ว แล้วน้องเธอก็เดินจ้ำออกจากร้านฉัน ฉันวิ่งตาม เรียกให้หยุดก็ไม่หยุด มีพิรุธชัดๆ พอฉันจะค้นตัว น้องเธอก็ก้าวร้าวใส่ฉัน”
จังหวะนั้นมีสายเรียกเข้าพอดี เจ้าของร้านได้ยินเสียงริงโทนก็ปรบมือว่าใช่แล้ว แต่พอหาที่มาของเสียง ปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือดังออกมาจากกระเป๋าเอี๊ยมของเจ้าของร้านเอง ทำเอาไทยมุงส่ายหน้าแล้วสลายวง เจ้าของร้านก็พูดแค่ว่าลืม ไม่รู้ว่ามือถืออยู่กับตัวมาตลอด
“ในเมื่อเข้าใจผิดกันก็ไม่มีอะไรแล้ว พาน้องเธอกลับบ้านไปเหอะ”
เจ้าของร้านพูดตัดบทแบบนั้น พลอยขวัญจึงยืนขึ้นเต็มความสูง ลูบศีรษะของเด็กชายแล้วกอดจากด้านหลัง เอ่ยยิ้มๆ
“พี่กล่าวหาในสิ่งที่น้องหนูไม่ได้ทำ พี่ต้องขอโทษน้องชายหนูด้วยค่ะ”
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น พลอยขวัญก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่าหนุ่มน้อยร้องไห้กระซิก กอดเอวเธอแน่น พลอยขวัญพูดกับเขาสองสามคำแล้วพาไปส่งที่แผงขายของในตลาดซึ่งแม่ค้าเป็นป้าของเด็กชาย ป้าเห็นหลานเดินกินไอติมโคนมากับเด็กสาวหน้าตาน่ารัก แต่งตัวใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนคุณหนู มือข้างหนึ่งจูงเดินมาด้วยกันสบายๆ แถมคุยกันแจ้วๆ ป้านึกแปลกใจจึงเอ่ยถาม
“หนูจ๋า หลานป้ามันไปก่อเรื่องอะไรมาหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ” พลอยขวัญรีบบอก “หนูมาซื้อของที่ตลาดพอดี เลยเดินมาส่งน้องค่ะ”
“เดี๋ยวเถอะ ไปรบกวนพี่สาวเขาแบบนั้นได้ยังไง”
“ไม่ได้รบกวนเลยค่ะ หนูอยากกินไอติม แต่มันมีโปร 1 แถม 1 หนูเลยแบ่งให้น้องเขาช่วยกินค่ะ เนอะ” พลอยขวัญขยิบตาให้ เด็กชายก็ก้มหน้างุดๆ ใบหูแดงก่ำและเอาแต่กินไอติมโดยไม่พูดอะไรเลย ป้าก็เลยดุใส่
“พี่เขาเลี้ยงไอติม ขอบคุณพี่เขาแล้วหรือยัง”
“ขอบคุณครับ”
“เอ่อ พ่อเขาเลิกกับแม่เขาไปนานแล้ว ปีก่อนแม่เขาเพิ่งเสีย เด็กคนนี้ย้ายมาอยู่กับป้า ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ยิ้ม ไม่คุยกับใครเลย ดีที่รู้จักช่วยป้าวิ่งส่งของในตลาด ถ้าหลานป้าเขาไปรบกวน ป้าก็ขอโทษด้วยนะ”
พลอยขวัญสบตาเด็กชาย ก่อนจะหยิบทิชชูออกมาเช็ดคราบไอติมเลอะตรงมุมปากให้ “คิดถึงคุณแม่ใช่มั้ยเอ่ย”
“ครับ”
“เด็กดี” พลอยขวัญปัดเผ้าผมให้อย่างอ่อนโยน คะเนอายุแล้วน้องน่าจะสิบเอ็ดสิบสอง เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านวัยไปอีกขั้น หนำซ้ำยังสูญเสียแม่ไปอีก ใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มน้อยจึงดูเงียบๆ ไม่ยิ้มหรือหัวเราะสดใส แววตาออกจะเกินวัยไปด้วยซ้ำ
“ที่ผ่านมาคงจะเหงามากเลยใช่มั้ย”
“อือ”
“ต่อไปนี้ไม่เหงาแล้วนะ เพราะพี่เป็นเพื่อนของน้องแล้ว คุณแม่ที่เสียไปแล้วเคยบอกมั้ยว่าอยากให้น้องมีความสุข มีเพื่อนเยอะๆ ได้เรียนหนังสือให้เก่งๆ แล้วก็ได้ทำงานที่อยากทำ”
“เคยครับ”
“แล้วโตขึ้นอยากเป็นอะไรเหรอ”
“... ไม่รู้ครับ แล้วพี่ล่ะครับ อยากเป็นอะไร”
“พี่อยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ นี่ไง พี่อยากตัดชุดให้ตุ๊กตา ไปๆ มาๆ ก็เลยชอบ อยากตัดชุดสวยๆ เยอะๆ เลย” พลอยขวัญหยิบสมุดวาดภาพของตัวเองออกมาให้ดู เวลาที่ได้คุยเรื่องที่ชอบ แววตาสดใสของเธอก็ยิ่งสวยงาม โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ทำให้ใครต่อใครยิ้มตาม “พี่เรียนตัดเย็บเสื้อผ้าจากยูทูป ฝีมือยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากให้พี่ลองตัดเสื้อให้มั้ย”
“อยากครับ”