ตอนที่3 รับผิดชอบ
เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นและเสียงล้อของรถม้าที่กำลังขับเคลื่อนเหยียบดินเหยียบหินเป็นจังหวะโยกคลอน
ทำเอาหลิงเวยเริ่มมีสติขึ้นมาอีกคราพร้อมอาการปวดหัวและเจ็บหน่วงรุนแรงช่วงกลางลำตัว นางเป็นลมหมดสติไปหลายรอบหลังจากที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนให้ห้องพักนั้นแล้วเห็นตนเองอยู่ในสภาพไม่คาดฝัน
“อา...เจ็บ” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทานออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลเป็นทางยาวสายใหม่ทับถมคราบน้ำตาหลายสายก่อนหน้านี้ นางร้องไห้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมา
“ฟื้นแล้วหรือ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำทรงพลังพลันดังอยู่ข้างๆ กายกันพาเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มได้สติเด่นชัด
หลิงเวยยิ่งกะพริบตาปริบๆ เมื่อรับรู้ได้แล้วว่านางกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าคันหนึ่งและข้างกายกันก็เป็นบุรุษลึกลับร่างหนาที่นางเจอบนเตียงนอนนั่น
“ท่าน ท่าน ไยถึง...ฮึก...” หญิงสาวเอ่ยคำได้แค่นั้นพลันรู้สึกว่ามีก้อนปริศนาลูกใหญ่ขวางตันอยู่กลางลำคอ
นางมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งมาด้วยกันภายในรถม้าอย่างไม่เข้าใจอันใด เขากำลังนั่งกอดอกอยู่ข้างๆ นางและมองมาทางนางด้วยอาการโกรธกรุ่น สันกรามคร้ามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน สายตาเรียวคมของเขาก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ใบหน้าของเขาถึงจะหล่อเหลาคมคายแต่รูปร่างใหญ่โตและแววตาขึงเครียดอย่างนั้นทำให้ความหล่อเหลาคล้ายกับเทพเซียนของเขาเสมือนถูกปีศาจกลืนกินไปจนหมดสิ้น
หลิงเวยยิ่งงงงันแต่กระนั้นนางก็แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับชายผู้นี้และไม่เคยมีความแค้นอันใดต่อกัน ไยเขาถึงต้องทำกับนางอย่างนั้น ทำไมกัน!?
หญิงสาวเริ่มร้องไห้หนักๆ ออกมา น้ำตาของนางไหลเป็นทางยาวไม่หยุดราวกับเขื่อนกั้นทะเลสาบแตกทลาย
“ท่าน...ท่านขืนใจข้า” นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดในชีวิต ทำเอาชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันต้องคำรามออกมาเสียงดัง
“หยุดเล่นงิ้วเสียที!”
ประโยคอย่างนั้น น้ำเสียงอย่างนั้น ทำเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่ ดวงตาพองโตเพ่งมองเขาผ่านน้ำตาชุ่มฉ่ำคล้ายม่านน้ำตก
อันใด!? ต้องเป็นนางมิใช่หรือไรที่ต้องโกรธจนอยากจะฆ่าเขา
“ท่าน...ท่าน...” หลิงเวยเริ่มละล่ำละลักทั้งน้ำตาหมายเรียกร้องความสูญเสียของตนที่เขาพรากไป แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะว่ากล่าวต่อคำสิ่งใด เสียงเกือกม้ากระทบพื้นพลันเงียบลงรถม้าพลันจอดนิ่ง
บุรุษร่างหนาใบหน้าหล่อเหลาสายตาดุดันเหี้ยมเกรียมก็ลุกออกไปจากรถม้าโดยไม่หันหน้ามามองหลิงเวยแต่อย่างใด
เขาลุกออกจากรถม้าไปด้วยอาการฉุนเฉียวไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองนาง หรือรอรับร่างบางของนางให้ลงจากรถม้าแต่อย่างใด
หญิงสาวพยายามเรียกสติของตนอีกครู่หนึ่งจึงเริ่มขยับกายตามเขาออกมาจากรถม้าหวังจะด่าทอเขาสักหลายๆ คำ
แต่ทว่าความเจ็บแปลบช่วงกลางลำตัวพลันเล่นงาน นางถึงกับต้องนั่งลงเอื้อมฝ่ามือขึ้นกุมหน้าท้องอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวสวยต้องขมวดพันกันมุ่นสายตาคู่สวยพลันผงะเมื่อมองเห็นเบื้องหน้าของนางเป็นจวนของตระกูลหลิง
“คุณหนู โปรดลงมาเถิด” และตามด้วยเสียงของบ่าวชายผู้หนึ่งเอ่ยมาทางหลิงเวย
หลิงเวยลงจากรถม้าด้วยตนเองอย่างยากลำบากเพราะอาการเจ็บร้าวไปหมดตั้งแต่ศีรษะลงมา นางพยายามประคองเรือนร่างของตนเดินตามหลังของบ่าวชายผู้หนึ่งมาตามทางเมื่อบ่าวชายผู้นี้บอกกล่าวให้นางเดินตามเขามายังห้องโถงกลางเรือนพร้อมกับมีบ่าวชายอีกสามคนเดินตามหลังนางเพื่อคุมตัวนาง
นี่มันเรื่องบ้าอันใด ไยนางถึงอับโชคปานนี้ นี่คงเป็นแผนการของบิดาใช่หรือไม่ เขาโกรธที่นางแอบหนีออกจากจวนไปใช่หรือไม่ ไยต้องทำกันถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมายังทรมานกันไม่พอหรืออย่างไร ไยต้องใช้วิธีการที่ชั่วช้าสามานย์ปานนี้กัน เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่
หลิงเวยพร่ำบ่นอยู่ในใจด้วยความชอกช้ำที่สุดในชีวิตน้ำตาแห่งความเสียใจพลันเริ่มเอ่อคลอหน่วยของดวงตาจนล้นออกมาเป็นทางยาว นางเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามายังเรือนรับรองอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตาอันอับแสง
ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำของผู้หนึ่งพลันดัง
“ข้าย่อมรับผิดชอบ ชายชาติทหารกล้าทำย่อมกล้ารับ”
เสียงนั้นเป็นเสียงของบุรุษที่นั่งมาในรถม้าคันเดียวกันกับหลิงเวยนั่นเอง หญิงสาวจำน้ำเสียงนี้ได้จึงเงยหน้าขึ้นมองหลังจากที่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องมาแล้วนั่งลงกับพื้นกลางห้องเพื่อรอรับโชคชะตาอันอับเฉา นางเห็นเป็นเขาจริงๆ บุรุษร่างใหญ่ผู้นั้น
“เช่นนั้นย่อมดี” เสียงของบุรุษสูงวัยอีกเสียงหนึ่งพลันดังตาม เสียงนั้นเป็นเสียงของประมุขแห่งจวนตระกูลหลิงนั่นเอง หลิงเวยจึงผินหน้าไปมองบิดาของตนตาปริบๆ ผ่านม่านน้ำตา
“ข้าจะจัดงานสมรสให้หลังจากนี้อีกสามเดือนตามความเหมาะสม” เสียงเข้มข้นของบุรุษร่างใหญ่คนเดิมกล่าวออกมาอีกครั้ง หลิงเวยก็ผินใบหน้าเบนสายตากลับมามองเขาอีกครา
“กำหนดมงคลสมรสนั้น ข้าต้องการให้เกิดขึ้นภายในสามวัน นางเป็นบุตรีของข้าที่มิใช่สตรีข้างถนน ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกถึงเพียงนี้ ท่านจักรอให้อับอายแก่วงตระกูลยิ่งกว่าเดิมไปไย” หลิงอี้ถังเสนาบดีกรมคลังเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอมด้วยสีหน้าจริงจังเอาเรื่องทั้งยังวางตัวเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าไปทางบุรุษร่างใหญ่ในอาภรณ์สีน้ำตาลเข้ม หลิงเวยจึงพลิกสายตากลับมายังฝั่งบิดา
ฟงชินหยางกัดฟันกรอดตอบกลับเสียงกดต่ำ “ย่อมได้” จบคำก็สะบัดชายผ้าเสียงดังเดินออกจากห้องโถงของเรือนรับรองไป
หลิงเวยหันหน้ามองบุรุษผู้ที่นั่งรถม้ามากับนางอย่างอึ้งๆ และยังคงมองตามเขาอยู่อย่างนั้น
นางมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่งามสง่าของเขาอย่างเงียบงัน นางเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ของเขาเดินจากไปโดยที่เขาไม่หันมามองนางอีกเลย
หญิงสาวขมวดคิ้วพันกันแน่นมากยิ่งขึ้น บิดาของนางคงเป็นเจ้าของแผนการจับเสือให้กระต่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงเวยผินใบหน้าหันกลับมามองบิดาของตนอีกคราอย่างมิรู้ได้ว่าจะต้องกล่าวคำอันใดกับบิดาเช่นนี้ที่ไม่สมควรเป็นบิดาของนางเลยสักเสี้ยว
หลิงอี้ถังมองธิดาตัวเล็กของตนด้วยรอยยิ้มละไมประดับใบหน้าหล่อเหลารูปงามที่คมคร้ามตามอายุ บุตรีตัวดีของเขาบังอาจคิดหนีงานแต่งที่เขาหมายจะยกระดับอำนาจตระกูล
ไม่คิดไม่ฝันว่านางจะแอบรักอยู่กับท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรผู้ถือกำลังพลมากมายอย่างฟงชินหยาง ถึงขั้นแอบไปนอนพรอดรักกันในโรงเตี๊ยม ถึงแม้ว่าฟงชินหยางจะมีท่าทางคล้ายกับโกรธขึงประหนึ่งว่าถูกวางยากระนั้น
แต่หากว่าเขาถูกวางยาจริงก็นับว่าบุตรีของเขาช่างฉลาดล้ำยิ่งแล้ว ฮึฮึ!
หลิงอี้ถังคิดอย่างปลื้มปริ่มดีใจยิ่งอยู่ภายในใจหาได้เสียใจอันใดไม่พลางเอ่ยเสียงเรียบไปทางสาวใช้รายรอบ
“เวยเอ๋อร์คงเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าตามไปดูแลปรนนิบัตินางให้ดีอย่าให้คลาดสายตา” ประมุขตระกูลหลิงเน้นย้ำตรงปลายประโยคด้วยเกรงว่าบุตรีผู้นี้เกิดเปลี่ยนใจหนีตามบุรุษไปประเดี๋ยวเขาจะมิได้อันใดตอบแทนให้สาสมกับค่าน้ำแกงที่เลี้ยงดูมา
“เจ้าค่ะ” เสียงบ่าวรับใช้ตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินเข้ามากึ่งจับกึ่งประคองหลิงเวยที่ยังคงหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจคล้ายกับสิ่งไร้ชีวิตให้เดินออกไปจนลับตา
ภายในห้องหับอันคับแคบที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนของหลิงเวยมาตลอดหลายปีหลังจากที่มารดาตายจาก
บัดนี้กำลังมีบ่าวรับใช้เดินเข้าเดินออกกันอย่างคึกคักผิดกับเมื่อก่อนยิ่งนัก
เมื่อยามก่อนนั้นเรือนของนางมีบ่าวรับใช้เข้ามาก็จริงแต่ในเมื่อนางมิใช่บุตรีคนโปรดและไม่มีมารดาเป็นที่พึ่งพิง บ่าวรับใช้พวกนี้ก็เข้ามาแค่ให้รู้ว่าเข้ามาแล้ว และทำความสะอาดอะไรก็แค่ทำแบบขอไปทีทั้งยังมิได้มาทุกวัน
แต่ทว่ายามนี้หลังจากที่นางตัดสินใจหนีออกไปเมื่อวานและถูกนำตัวกลับมา นางก็มีบ่าวไพร่อยู่เต็มเรือน บ้างทำความสะอาด บ้างจัดเตรียมเครื่องหอม บางคนจัดเตรียมอาภรณ์ และหลายคนกำลังดูแลหลิงเวยอย่างประคบประหงมผิดจากกาลก่อนชัดเจน
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยอยู่ในสายตาของใครอยู่ไปแบบไร้ตัวตนกระทั่งออกนอกเรือนยังไม่มีใครรู้ว่านางหายไป
แต่ทว่าในยามนี้แม้แต่ลุกขึ้นยืนยังมีคนมองแม้กระทั่งยามนอนยังคงมีบ่าวไพร่ตามติดมานอนคุมนางที่เตียง แล้วอย่างนี้นางจะหาโอกาสหนีอีกได้เยี่ยงไรกัน
ชีวิตของหนึ่งในภรรยาจากหลายๆ นางจากบุรุษหนึ่งเดียวเฉกเช่นมารดา นางคงหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ บุตรที่นางให้กำเนิดจะต้องเกิดมามีโชคชะตาเดียวกันหรืออย่างไร
หลิงเวยได้แต่นั่งหลับตาเก็บข่มอารมณ์หลากหลายเป็นเพียงตุ๊กตาให้บรรดาบ่าวไพร่พากันจับตรึงประโคมเครื่องหอมบำรุงผิวพรรณอย่างยอมจำนน
พระราชวังแคว้นเฉินอันวิจิตรการตาและใหญ่โตโออ่าประดับประดาสิ่งมงคลสีเหลืองทองอร่ามสุดลูกหูลูกตารอบทิศทาง
ภายในศาลากลางอุทยานสวยงามที่ร่มรื่นท่ามกลางแมกไม้ของตำหนักเซียนกงแห่งอ๋องเฉินนามว่าหยางหลง
บุรุษหนุ่มใบหน้าคมคายรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่อาภรณ์สีกรมท่าตามแบบฉบับชายชาติทหารทระนงองอาจกำลังนั่งจิบชาอยู่กับบุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มีใบหน้ารูปงามผิวพรรณขาวเนียนสวมใส่อาภรณ์สีขาวนวลตามแบบฉบับชายสูงศักดิ์ผู้เป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้
ทั้งสองมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างลิบลับทั้งยังนั่งจิบชาอยู่ด้วยกันในอารมณ์ที่ห่างกันคนละชั้นอย่างสิ้นเชิง
“ข้าดีใจยิ่งนัก ที่แม่ทัพผู้เกรียงไกรและไม่เคยสนใจผูกสมัครรักใคร่กับสตรีนางใดกำลังจะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที” บุรุษชุดขาวกล่าวจบก็ยกชาขึ้นตรงหน้าประหนึ่งว่ากำลังนั่งร่ำสุราอยู่กระนั้น เขายกยิ้มมุมปากด้วยมาดมากเสน่ห์พร้อมสายตาคมทอประกายล้อเลียน
“ฮึ! กระหม่อมพลาดเอง” ฟงชินหยางเจ้าของอาภรณ์สีเข้มที่นั่งจิบชาอยู่กับบุรุษชุดขาวส่งเสียงกดต่ำออกมาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมไม่สร่างซา
เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะถูกวางยาปลุกกำหนัดให้ร่วมรักกับสตรีนางนั้น กระทั่งมีคนจากตระกูลของนางเข้ามายืนรอเป็นพยานกดดันอย่างเข้มข้น
ช่างแยบยลร้ายกาจเสียจริง!
เฉินหยางหลงยังคงยกยิ้มชอบใจพลางเอ่ย “ตระกูลหลิงเป็นตระกูลใหญ่ ถึงแม้ว่าใต้เท้าหลิงจะเจ้าเล่ห์ไปสักหน่อย แต่ได้บุตรีของเขามาครอบครองนั่นนับว่าเป็นการดี ข้ายังไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหาย”
ฟงชินหยางได้ฟังจึงหรี่ตามองบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าแล้วเอ่ยคำตามที่ใจคิด “กระหม่อมถูกลอบวางยา บุตรีของเขาช่างหน้าไม่อาย” เขาเริ่มเดือดดาลเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้
สตรีอะไรกัน! ช่างทำตัวได้น่ารังเกียจยิ่งนัก
บุรุษโครงหน้างดงามเจ้าของตำหนักเซียนกงยังคงเอ่ยเย้า “หากเจ้ายังมิได้กลืนกินนางเข้าไปเต็มคำอย่างนั้นก็อาจจะพอปฏิเสธได้แต่นี่เจ้า...เฮ่อ!”
กล่าวจบก็ทำท่าถอนหายใจทั้งๆ ที่นัยน์ยังคงทอประกายสนุกสนาน
สหายของเขาผู้นี้ชนะศึกในสนามรบมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่กลับมาแพ้ทางสตรีตัวเล็กๆ เสียได้ มิรู้ว่าจะเห็นใจหรือขำขันดี
“ท่านกำลังเห็นใจกันใช่หรือไม่” ฟงชินหยางเสียงเข้มขึ้น ใบหน้าคมคายไม่มีแววล้อเล่นด้วยแต่อย่างใดเมื่อมองเห็นใบหน้าของสหายบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังขบขันตน น่าอายยิ่งนัก!
“เอาน่าๆ อาหยาง การมีเมียมิใช่เรื่องใหญ่ ข้าเองก็มีเมียอยู่หลายคน แต่ละค่ำคืนช่างสำราญ ไม่ดีตรงไหน ตัวข้าเองกำลังจะได้บุตรีงดงามของใต้เท้าหลิงที่ข้าแอบหลงรักมานอนกอดให้ชื่นใจ” เฉินหยางหลงเริ่มปลอบใจสหายอย่างจริงจังเมื่อเห็นสีหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ของอีกฝ่าย
ฟงชินหยางได้แต่เงียบงันมิได้เอ่ยต่อคำใด
ชายหนุ่มเริ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งตนโดยไม่สนใจสหายตรงหน้าอีกต่อไป
เขามิได้ผูกสมัครรักใคร่นาง สตรีนางนี้เป็นใครเขาไม่เคยได้รู้จัก อารมณ์ยามนั้นที่กระทำไปเขามิได้พิศมองใบหน้าของนางด้วยซ้ำ แล้วจะอยู่ร่วมเรือนกันอย่างไร หากแต่เรื่องที่เขาถูกวางยาปลุกกำหนัดจนต้องแต่งงานกันนั้นล่วงรู้ไปถึงท่านพ่อกับท่านแม่ พวกท่านคงจะผิดหวังในตัวของเขาอยู่ไม่น้อย
เฉินหยางหลงนั่งมองใบหน้าคมเข้มของสหายอย่างเข้าใจเป็นอย่างดีจึงเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างรู้ใจ
“ข้าจะไม่บอกใคร อาหยาง เรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตบุรุษอย่างฟงชินหยาง ข้าจะไม่บอกใคร”
บุรุษร่างใหญ่ในอาภรร์สีเข้มได้ยินพลันมองสบตากับสหายของตน
เจ้าของตำหนักเซียนกงยังคงเอ่ย “เรื่องนี้จะมีเพียงเราสองที่รับรู้...นะ...” กล่าวจบก็ทำท่ากรุ่มกริ่มประหนึ่งชอบตัดแขนเสื้อกับสหายตรงหน้า
ฟงชินหยางได้แต่ถอนหายใจ นี่เขาเป็นสหายกับอ๋องผู้นี้ได้อย่างไร เขายังงง!
ภายในโรงเตี๊ยมอี้ฉางแห่งเดิมที่ไม่มีเงาร่างของฟงชินหยางเข้าพักอีกต่อไป
เถ้าแก่เนี๊ยนามเหมยลี่กำลังวิ่งไปกรีดร้องไปตามมุมต่างๆ ของสวนสายหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้
“ใจเย็นก่อน ข้ามิได้รู้เรื่องอันใด” เหมยลี่วิ่งไปบ่นไปหลบมือเรียวสวยของอวี้ถิงที่ไล่บีบคอตนอยู่
“คืนเงินมา” อวี้ถิงเอ่ยเสียงกดต่ำพลางแบมือไปด้วยไล่บีบคอเถ้าแก่เนี๊ยไปด้วย
“ข้านำยาปลุกกำหนัดเอาไปไว้ให้ตามคำสั่งของเจ้าและนำพาพยานมาชี้เป้ารับผิดชอบเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้า มิใช่ธุระของข้านะ เช่นนั้นข้าไม่จำเป็นต้องคืนเงินแก่เจ้า” เหมยลี่เอ่ยคำอย่างไม่ยินยอมใดๆ เงินเข้ามือมาแล้วย่อมไม่มีทางได้ออกจากมือไป นางไม่ยอม!
“สตรีใต้ร่างของท่านแม่ทัพควรเป็นข้า แล้วสตรีนางนั้นเป็นใครกัน” อวี้ถิงเริ่มคำรามถามคำถามเดิมๆ อย่างต่อเนื่อง
“นางเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีหลิง เจ้าก็จงทำใจเสีย” เหมยลี่ทำใจดีสู้เสือกล่าวเตือนสติอวี้ถิง
“ไม่มีทาง!” หญิงสาวเจ้าของฝ่ามือที่กำลังจะเอื้อมมาบีบคอเหมยลี่เอ่ยเสียงกดต่ำดวงตาวาวแดง “ข้าไม่มีทางปล่อยสตรีนางนั้นให้ลอยนวล ข้าจะตามราวีมิให้นางได้เป็นสุข”
เหมยลี่วิ่งหลบมุมปากก็พร่ำถาม “เจ้าจะไปเป็นอนุให้ท่านแม่ทัพหรือไร”
อวี้ถิงสะบัดเสียงกลับ “ไม่มีทาง ข้าจะต้องได้แม่ทัพฟงเป็นสามีของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
“แต่พวกเขาจะแต่งงานกันในเร็ววัน” เถ้าแก้เนี๊ยกล่าวออกมาเมื่อร่างงามของตนหลบอยู่หลังพุ่มไม้ได้สำเร็จ
“แต่งได้ก็หย่าได้” อวี้ถิงยังคงดุดันในน้ำเสียงพลางยืน ถมึงทึงอยู่เหนือพุ่มไม้นั้น “หากไม่หย่าข้าจะฆ่านางทิ้งเสีย”
เหมยลี่ถึงกับชะงักจ้องมองอวี้ถิงนิ่งงัน
ดียิ่งนักที่ท่านแม่ทัพมิได้สตรีนางนี้เป็นเมีย เฮ่อ!