ร้านขายของชำของผมที่ต่างโลก

245.0K · จบแล้ว
Bondmju
126
บท
24.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

สมัครงานที่ไหนไม่มีใครรับ ทั้งๆที่จบมาเกรดเฉลี่ย 4.00 จนมีที่หนึ่งรับผม แต่มันให้ไปขายของชำที่ต่างโลกนะซิ

บทที่ 1

โลกปี 2020 ในปัจจุบันนี้ มันเป็นโลกที่เศรษฐกิจตกต่ำลงเป็นอย่างมาก และก็มากกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา ข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ส่งผลทำให้มีการแข่งขันทางสังคมที่สูงขึ้นตามไปด้วย คนที่ต้นทุนในชีวิตสูงกว่าย่อมได้รับเลือกงานในตำแหน่งสูง งานที่ตำแหน่งสูงนำมาซึ่งผลตอบแทนที่คุ้มค่า

และผลตอบแทนที่คุ้มค่าจะนำไปสู่ความได้เปรียบในการใช้ชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน คนที่มีต้นทุนต่ำกว่าก็จะลำบากหน่อย บางครั้งการที่มีต้นทุนต่ำก็ทำให้บันไดที่จะไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเกิดถล่มลงมาได้เหมือนกัน หากถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น ก็รัฐบาลนั่นแหล่ะที่ทำให้ค่าครองชีพมันสูงขึ้น

‘บางทีมันก็ไม่ต้องบอก หรือต้องพูดอะไร ผู้คนก็ต่างรับรู้กันได้เองอยู่ดี’

งาน และเงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิต หลายๆคนวาดฝันว่าจะได้ทำงานในตำแหน่งที่สูงๆ ได้รับเงินเดือนดีๆ บางคนก็ฝันที่จะได้ทำงานตรงตามความชอบของตน ผู้คนมากมายต่างคาดหวังว่าการทำงานจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาได้ และแน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็จะต้องผิดหวัง เมื่อมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อชีวิตมันไม่ได้มีสูตรสำเร็จมาให้ใครอยู่แล้ว และผลลัพธ์ของความพยายามมันก็แตกต่างกันไป

“ผมเองก็เคยอยู่ในวังวนนั้น”

ผมที่เป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่จำความไม่ได้ หน้าตาของผมที่ดูรวมๆแล้วมันก็ออกแนวกวนบาทาซะเหลือเกิน ไม่แน่ว่า มันอาจจะเป็นเพราะดวงตาที่ดูเหมือนจะเป็นจอมหาเรื่องนี่หรือป่าว ที่ทำให้คนอื่นคิดกันไปอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นบุคลิกท่าทางที่ดูไม่สมกับเป็นเด็กกันแน่ เลยทำให้ไม่มีผู้ใหญ่ใจบุญสักคนเลยที่รับผมไปเลี้ยง

ชีวิตที่ผ่านมาผมอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้ามันก็ไม่ได้นับว่าแย่อะไร มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวให้กินทุกมื้อ มีเสื้อผ้าให้ใส่ ถึงจะเป็นของที่บริจาคมาก็เถอะ และวันนั้นมันโคตรจะแย่เลย มันเป็นวันที่ผมต้องย้ายออกจากที่นั่น

อย่างที่รู้กันดีว่า เมื่อเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าโตขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีใครที่ไหนรับไปเลี้ยง จะต้องถูกย้ายออก เพื่อให้ไปเผชิญโลกกว้างเพียงลำพัง ‘ตลกจัดรัสเซีย! เด็กที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเด็กกำพร้ามาทั้งชีวิตมันจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันยังไง!’ มันเป็นสิ่งที่ผมบ่นออกมาในตอนนั้น

โชคยังดีที่ผมยังมีความฉลาดในหัวสมองอยู่บ้าง มันจึงทำให้ผมเรียนค่อนข้างเก่งถึงขนาดสอบชิงทุนส่งตัวเองเรียนจนจบมัธยมปลาย แม้ว่าจะต้องทำงานพาร์ทไทม์เอาเงินมาช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายทั่วไปด้วย แต่ก็ถือว่าผมจัดการชีวิตหลังออกจากบ้านเด็กกำพร้าได้ดีพอสมควร ผมใช้การสอบชิงทุนส่งตัวเองเรียนปริญญาตรี สาขาการตลาด จนได้รับเกียรตินิยมอับดับ 1 ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00

ในตอนนั้น ผมวาดฝันไปถึงอนาคตที่มั่งคั่งมั่นคง ผมหลงอยู่ในภาพฝันที่สวยงามของการสมัครงานในบริษัทใหญ่ได้สำเร็จ และเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากการเป็นพนักงานการตลาดง่อยๆ เงินเดือนเพียงแค่ 12,000 ค่อยๆไต่เต้าในการทำงานจนอยู่ในระดับหัวหน้า ด้วยเงินเดือน 20,000 ในตอนนั้นผมคงมีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถยนต์ซักคันสองคันไว้ขับ มีภรรยาที่ดี ลูกที่น่ารัก และทายาทสืบทอดสมบัติต่อไป

“ถ้าหากคุณไม่มีคนเซ็นรับรองการทำงาน ทางบริษัทก็ไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานได้ ขอโทษด้วยครับ/ค่ะ”

ประโยคนั้นราวกับค้อนที่ทุบภาพฝันผมแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี ผมดึงสติของผมให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง การที่จะทำงานในบริษัทใหญ่ๆนั้นมันจำเป็นจะต้องมีคนใกล้ชิดสนิทสนม คนในครอบครัว หรือผู้ปกครองมาเซ็นรองรับให้ เผื่อการทำงานของเราผิดพลาด ซึ่งผมไม่มี!!!

ย้อนไปในตอนที่ผมออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้นมาได้ 10 ปีแล้ว ตอนนี้ผมก็ได้ข่าวว่าสถานที่แห่งนั้นโดนยุบ และทุบทิ้งเนื่องจากเหตุภายใน ซึ่งผมก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่ามันคือเหตุผลอะไร แต่จากการยุบบ้านเด็กกำพร้านั่นทำให้คนรู้จักของผม หรือซิสเตอร์ที่เป็นพี่เลี้ยงของผมต่างกระจัดกระจายกันไปที่อื่น โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เลยว่าจะไปตามหาพวกเขาที่ไหน

ผมพยายามไปสมัครงานอีกหลายที่ แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม “ให้ตายเถอะ !! ก็ตรูเป็นเด็กกำพร้า แล้วตรูจะหาใครที่ไหนมาเซ็นรับรองให้ล่ะโว้ยยยยย !!!”

ผมยังคงเดินหน้าสมัครงานอย่างไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งผมเจอเข้ากับงานๆหนึ่ง ซึ่งมันเป็นงานที่ผมทำอยู่ในปัจจุบันนี้ ในตอนแรกต้องบอกว่าเป็นงานที่จับพลัดจับผลูไปเจอเข้าจึงลองสมัครดูแบบขำๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกมัดมือชกให้ทำงานแบบงงๆ แถมยังลาออกไม่ได้อีกต่างหาก

แต่เมื่อลองทำไปแล้วผมก็เริ่มรู้สึกสนุกกับมัน และต้องบอกเลยว่าไอ้งานนี้เนี่ยแหละที่ทำให้ผมได้พบเจอ และเรียนรู้อะไรมากมาย ถ้าถามตัวผมในตอนนี้แล้วล่ะก็ ผมอยากจะบอกว่าผมรักงานนี้ และไม่คิดจะลาออกอย่างแน่นอน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ชีวิตผมประสบความสำเร็จแล้ว แม้ว่าผมจะไม่ได้มีบ้านหลังใหญ่โต รถยนต์หรูหรามากมาย อย่างที่เคยฝันไว้ แต่ชีวิตของผมในตอนนี้มันก็มีความสุขดี มันเป็นชีวิตที่เรียบง่าย ในบางครั้งมันอาจจะมีเรื่องราวให้ตื่นเต้น หรือปัญหาที่วิ่งเข้ามาหาบ้างในบางวัน สังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เป็นมิตร ตัวผมในตอนนี้ไม่ต้องการอะไรนอกจากนี้อีกแล้ว และผมก็ไม่คิดเสียใจอีกเลยที่เลือกสมัครงานนั้น

“เพราะงานนี้ มันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล ร้านขายของชำในต่างมิติ ยินดีต้อนรับครับผม”