บทที่ 6
เมื่อได้คำตอบแล้ว ญาดารินก็ลอบหายใจลึกรวบรวมความกล้าให้กับตนเอง ก่อนจะก้าวเดินอย่างรีบเร่งตรงไปยังสถานีตำรวจ ซึ่งจากที่สอบถามมาคือเดินตามที่เขาชี้นิ้วบอกไปอีกราวๆ หนึ่งกิโลเมตรก็จะพบสถานีตำรวจ
ญาดารินเดินตามหาสถานีตำรวจไม่ถึงสิบห้านาทีก็พบในที่สุด พอเปิดประตูและเดินเข้าไปข้างใน ญาดารินก็ต้องนิ่งขึงชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มสู้เพราะตอนนี้หญิงสาวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมองเป็นจุดเดียว
“สวัสดีค่ะ คือดิฉันเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย อยากมาแจ้งความค่ะ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่สามารถสนทนาภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี ได้เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยิ้มทักทายนักท่องเที่ยวสาวด้วย “สวัสดีครับ มีอะไรให้พวกเราช่วยเหลือไหมครับ”
“ค่ะ ดิฉันอยากแจ้งความเรื่องที่มีคนร้ายจะทำการลักพาตัวน้องชายของมหาเศรษฐีในเมืองนี้นะคะ”
ได้รับคำตอบจากนักท่องเที่ยวสาว เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับเบิกตาโต แต่ไม่ใช่เพราะความตกใจ ทว่าเป็นเพราะคิดว่าหญิงสาวกำลังพูดเล่น หรือไม่ก็สติฟั่นเฟือนนั่นเอง
“เมื่อสักครู่คุณบอกผมว่ามีคนร้ายวางแผนลักพาตัวน้องชายของมหาเศรษฐีในเมืองวาดิมูซาหรือครับ ผมไม่ได้ฟังผิดใช่ไหมครับ”
“ไม่ผิดค่ะ” ญาดารินรับคำเสียงหนักแน่น แม้รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เชื่อในคำพูดของเธอแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังคงย้ำคำตอบว่า “ใช่ค่ะ ดิฉันได้ยินคนร้ายสองคนวางแผนกันขณะนั่งอยู่ในร้านกาแฟค่ะ”
“คนร้ายพูดภาษาอังกฤษยังงั้นหรือครับ” เพราะไม่คิดว่านักท่องเที่ยวสาวชาวไทยจะฟังภาษาอาหรับออก เจ้า
หน้าที่ตำรวจจึงได้ถามกลับเช่นนั้น
ญาดารินส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกเขาพูดภาษาอาหรับค่ะ”
“คุณกำลังจะบอกผมว่าคุณฟังภาษาอาหรับออก และได้ยินคำพูดของคนร้ายและเข้าใจในทุกคำพูดของพวกเขา จึงได้มาแจ้งความใช่ไหมครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยถามและไม่คิดรอคำตอบ เพราะมั่นใจว่านักท่องเที่ยวพูดหรือฟังภาษาอาหรับไม่ออกแน่ๆ จึงถามต่ออย่างระมัดระวังถ้อยคำว่า
“ขอโทษนะครับ คุณดื่มแอลกอฮอล์หรือเปล่าครับ มีเพื่อนมาด้วยไหมครับ ผมจะได้โทร.ให้เขามารับคุณกลับโรงแรม”
ญาดารินไม่อยากให้การแจ้งความต้องยืดเยื้อไปมากกว่าที่เป็นอยู่ คราวนี้หญิงสาวเลือกตอบคำถามของเจ้า
หน้าที่ตำรวจด้วยภาษาอาหรับ
“ดิฉันไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ ดิฉันฟังและพูดภาษาอาหรับได้ ฉันได้ยินและเข้าใจทุกคำพูดของคนร้ายค่ะ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นคู่สนทนาของญาดารินต้องอ้าปากค้างบ้าง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ ที่นั่งทำงานอยู่ ต่างก็เบิกตาโตด้วยความแปลกใจที่นักท่องเที่ยวชาวไทยคนนี้สามารถพูดภาษาของพวกเขาได้
“คุณพูดอาหรับได้”
“ค่ะ คราวนี้เชื่อหรือยังคะว่าฉันฟังภาษาอาหรับออก”
เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้ารับในทันที เพราะเมื่อสักครู่นั้นเขาได้ตั้งคำถามเป็นภาษาอาหรับกับหญิงสาว เขาเชื่อแล้วว่าหญิงสาวฟังและพูดภาษาอาหรับได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่เชื่อในคำพูดของเธอ
“คุณมีหลักฐานหรือจำหน้าตาของคนร้ายได้ไหมครับ”
“สารภาพตรงๆ เลยนะคะว่าฉันไม่ได้มีความกล้ามากพอที่จะมองหน้าคนร้ายค่ะ นาทีนั้นฉันกลัวแทบจะลืมหายใจที่เผอิญได้ยินเรื่องนี้เข้า ซึ่งพวกมันพูดกันว่าหลังจากได้เงินแล้วจะฆ่าตัวประกันที่ชื่อฟาทัสทิ้งที่ทะเลทราย”
ชื่อของตัวประกันที่ญาดารินเอ่ยออกมา ทำเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนที่นั่งฟังอยู่ต้องลุกจากเก้าอี้เดินตรงดิ่งมาหานักท่องเที่ยวสาว และถามกลับว่า
“เมื่อสักครู่คุณพูดว่าตัวประกันชื่อฟาทัสยังงั้นหรือครับ”
“ค่ะ ฉันได้ยินคนร้ายเรียกชื่อของตัวประกัน และพวกเขาทำภาพถ่ายของเด็กหนุ่มที่ชื่อฟาทัสตกอยู่ใต้โต๊ะด้วย นี่ยังไงละคะ ภาพถ่ายของเด็กที่ชื่อฟาทัส”
เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบรับภาพถ่ายมาจากญาดาริน และทันทีที่ได้เห็นภาพถ่ายของเด็กหนุ่มที่นักท่องเที่ยวสาวอ้างว่ากำลังจะตกเป็นเหยื่อของการลักพาตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งถึงกับรีบหยิบโทรศัพท์กดโทร.หาใครบางคนอย่างรวดเร็ว ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้สนทนากับญาดารินตั้งแต่ต้น ได้ผายมือเชิญให้หญิงสาวเข้าไปนั่งรอในห้อง
“เชิญมาดามเข้ามานั่งรอในห้องก่อนครับ”
“คุณตำรวจเชื่อฉันแล้วใช่ไหมคะว่าจะมีการลักพาตัวเด็กที่ชื่อฟาทัสจริงๆ”
“ครับ เราเชื่อคุณครับ และตอนนี้เราได้โทร.แจ้งพี่ชายของคุณฟาทัสแล้ว เขากำลังเดินทางมาสถานีตำรวจ ผมและคุณฮารันอยากสอบถามข้อมูลกับมาดามเพิ่มเติมครับ”
“เรียกฉันว่าญาดาก็ได้ค่ะ เรียกมาดามฟังดูแก่มากเลยค่ะ”
“ได้ครับ คุณญาดา”
ญาดารินหัวเราะเบาๆ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจออกเสียงเรียกชื่อของเธอเพี้ยนไปบ้าง หญิงสาวไม่ได้อยู่ในอารมณ์นึกสนุกจนหัวเราะออกมาได้ ทว่าต้องการสร้างบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียดมากจนเกินไป เพราะตอนนี้เธอกำลังติดแหง็กอยู่ในสถานีตำรวจ จากที่คิดว่าแจ้งความเสร็จแล้วจะได้กลับไปพักผ่อนในโรงแรม เพื่อเตรียมตัวท่องเที่ยวนครเพตราในวันพรุ่งนี้ แต่กลับต้องนั่งรอพี่ชายของฟาทัสที่กำลังเดินทางมาสอบปากคำเธออีกคน