บทที่ 1 คือเพื่อน 1
ลมหนาวในช่วงค่ำคืน ณ อุทยานภูกระดึงในวันนี้ดูเหมือนว่าจะเย็นจัดกว่าทุกๆ คืน นักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นมาเยี่ยมชมความสวยงามและต้องการสัมผัสอากาศเย็นสบายในช่วงปลายฤดูหนาว ต่างมานั่งมองดูทัศนียภาพยามค่ำคืน ดื่มด่ำกับราตรีท่ามกลางหมู่ดาวที่ขึ้นพราวระยับประดับฟ้ายามราตรี
ร่างของสามสาวเพื่อนซี้ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสุขอยู่กับธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ มองดูดวงดาวอันไกลโพ้นพร้อมกับพูดคุยกันตามประสา โดยมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมกายร่างของทั้งสามชีวิต
“ท้องฟ้าคืนนี้สวยจังเลยนะ ดาวเต็มฟ้าเลย” หทัยชนกเอ่ยขึ้นขณะที่แหงนมองดูท้องฟ้า รอยยิ้มแห่งความสุขบังเกิดขึ้นบนดวงหน้าสวยของเธอ
“ใช่ สวยดี” อัญญาณีพูดเสริม “แต่ปวดคอชะมัด แหงนมองตั้งหลายนาทีแล้ว เกตุว่านอนดูดาวกันดีกว่า ไม่ต้องปวดคอด้วย” เธอเอ่ยบอกเพื่อนสนิทอีกสองคน ใช้ฝ่ามืออีกข้างบีบตรงท้ายทอยขับไล่อาการปวดเมื่อยที่เข้ามาเยือน
“ก็ได้ นอนก็ได้” เกวลินหรือเดียร์พูดขึ้น ก่อนจะดึงผ้าห่มออกแล้วล้มตัวลงนอนหงายเป็นคนแรก ทำให้อีกสองสาวล้มตัวลงนอนตาม แล้วใช้ผ้าห่มผืนเดิมคลุมกายเอาไว้ ปกป้องความหนาวจากแรงกดอากาศต่ำของค่ำคืน
“เดียร์ไปเรียนต่อเมืองนอก อย่าลืมโทรมาหารุ้งกับเกตุบ้างนะ เกตุไม่มีตังค์โทรไปหาเดียร์บ่อยๆ หรอก งบมันน้อยน่ะ”
อัญญาณีหันมาบอกเกวลินที่กำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโทยังประเทศสหรัฐอเมริกา หากจะพูดได้ว่ารายได้จากคนที่จบมัธยมศึกษาปีที่สามอย่างอัญญาณี คงไม่มีปัญญาจ่ายค่าโทรศัพท์ต่างประเทศที่ค่อนข้างแพงได้ คงจะมีทางเดียวก็คือ ต้องให้เกวลินเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเธอแทน
“รู้แล้วน่า เดียร์ก็ต้องโทรมาหาเกตุอยู่แล้ว” เกวลินเข้าใจฐานะของอัญญาณีดีว่าด้อยกว่าเธอมากแค่ไหน ลำพังหาเลี้ยงลูกๆ ทั้งสี่คนซึ่งเป็นภาระแสนหนักอึ้งก็มากพออยู่แล้ว หากจะเพิ่มภาระจ่ายค่าโทรศัพท์ต่างประเทศอีกก็คงไม่ไหว “หรือว่าเดียร์จะให้เงินเกตุไว้เป็นค่าโทรศัพท์หาเดียร์ดี” เกวลินมีความคิดใหม่
“ไม่ล่ะ เกตุกลัวว่าจะเอาเงินไปใช้อย่างอื่นน่ะสิ ตอนนี้ยิ่งชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ เอาเป็นว่าถ้าเดียร์ว่างแล้วคิดถึงเกตุก็โทรมาหาเกตุก็แล้วกันนะ” อัญญาณีค้านตามเหตุผลที่เอ่ยออกไป
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวรุ้งโทรไปหาเดียร์เอง โทรไปตอนเกตุอยู่ด้วยจะได้คุยพร้อมๆ กัน เอาอย่างนี้ดีกว่านะ” หทัยชนกลูกสาวเจ้าของร้านทองชื่อดังในตัวเมืองภูเก็ตหาทางออกให้กับเพื่อนทั้งสอง
“อืม...ก็ดีเหมือนกันนะ เอาเป็นว่าถ้าเดียร์ว่าง เดียร์จะโทรหา ถ้ารุ้งกับเกตุว่าก็โทรหาเดียร์ โอเคนะ”
“โอเค” เสียงของหทัยชนกกับอัญญาณีพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“เดียร์คงคิดถึงเกตุกับรุ้งมากๆ ไปตั้งสองปีกว่าจะกลับ”
เกวลินพูดเสียงเศร้า เมื่อนึกถึงระยะเวลาที่จะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปศึกษาต่างประเทศตามความต้องการของบิดา เกวลินเองไม่ต้องการไปเรียนต่อแม้แต่น้อย เนื่องจากเธอเรียนจบระดับชั้นปริญญาตรีมาเกือบเจ็ดปีแล้ว ความรู้ก็ถูกกลืนหายไปตามเวลา ไปเรียนปริญญาโทคราวนี้เท่ากับว่าต้องเคาะสนิมใหม่
“แล้วเดียร์จะไม่กลับมาช่วงซัมเมอร์เหรอ?” คนที่ผ่านการเรียนเมืองนอกมาก่อนเอ่ยถาม
“คงไม่ล่ะ เพราะไม่รู้ว่าช่วงนั้นจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง พ่อบอกว่าให้กลับมาทีเดียวตอนที่เรียนจบ” คนที่ถูกบังคับให้ไปเรียนต่อตอบกลับยังคงมีน้ำเสียงเศร้าเช่นเดิม
“เอาน่า พ่อให้เรียนก็เรียนไปเถอะ เพื่ออนาคตที่ดีไง เพื่อพ่อด้วยไง”
อัญญาณีจับน้ำเสียงของเพื่อนได้ว่า ไม่มีความปรารถนาจะไปเรียนต่อเลย ถ้าไม่เป็นเพราะเกวลินมีปัญหากับภรรยาใหม่ของผู้เป็นพ่อ ถึงขั้นมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง คนกลางเช่นวิทยาจึงตัดสินใจให้ลูกสาวคนที่สองไปเรียนต่อต่างประเทศ ตัดปัญหาไปในตัว
พอเกวลินเรียนจบวิทยาตั้งใจว่าจะให้ลูกสาวคนนี้บริหารงานโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติกต่อจากเขา ส่วนตัวเองกับภรรยาใหม่ก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่อัมพา ในจังหวัดราชบุรี ตัดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งแบถาวร ต่างคนต่างอยู่
“ก็ทำเพื่อพ่อเนี่ยแหละถึงไป” เกวลินทำเสียงขึ้นจมูกคล้ายจะร้องไห้
“ไม่เอา ไม่เอาอย่าร้อง” อัญญาณีพูดปลอบเพื่อน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา “เรามาเที่ยวกันไม่ใช่เหรอ ไม่พูดเรื่องเครียดๆ แล้ว เรามาพูดเรื่องที่เราจะไปเที่ยวกันในวันพรุ่งนี้ดีกว่า ไม่รู้ว่าจะเจอหนุ่มเอ๊าะๆ สักกี่คน” อัญญาณีพูดไปตาเพ้อฝันไป เมื่อนึกถึงสถานที่ที่จะไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้
“แหม พอคิดถึงผู้ชายทำตาปรอยเลยนะ เดี๋ยวเดียร์จะไปฟ้องพี่ชาติ ให้พี่ชาติสำเร็จโทษ” เกวลินพูดขึ้นทันควัน ทำหน้าตาขึงขัน พี่ชาติที่ว่านี้ก็คือสุชาติ สามีสุดหล่อของอัญญาณีนั่นเอง
“เชอะ กลัวตายล่ะ” คนตัวกลมๆ สะบัดเสียงพูด
“ฮ่าๆๆๆๆ ถ้าพี่ชาติรู้ว่าเกตุไปส่องผู้ชาย พี่ชาติจะว่ายังไงนะ อยากรู้จังเลย” หทัยชนกกลั้วหัวเราะเวลาพูด นึกถึงสีหน้าของสุชาติยามที่หึงภรรยาตัวกลมทีไร อดขำไม่ได้ทุกที
“จะทำยังไง ก็ไปส่องผู้หญิงเป็นการเอาคืนยังไงล่ะ” อัญญาณีกล่าวอย่างรู้เท่าทันสามี “เรามาเที่ยวกันเป็นการส่งท้ายก่อนที่เดียร์จะไปเมืองนอกไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นหัวข้อการสนทนาของเราน่าจะเป็นเรื่องของพวกเรามากกว่า เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่เราจะมีโอกาสแบบนี้อีก” สาวอ้วนที่สุดในกลุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ได้ ว่าแต่พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้แล้วนะ เพราะอีกตั้งสองปีกว่าเดียร์จะกลับ เพราะฉะนั้นต้องให้สุดๆ เลย จะได้เก็บไว้ในความทรงจำของพวกเราไง”
คำพูดปนเศร้าขับออกมาจากปากของสาวนิสัยดีอย่างหทัยชนก หากได้ยินเพียงผิวเผินมันก็จะดูคล้ายกับว่าเป็นคำอาลัยอาวรณ์ แต่ทว่าในถ้อยคำนั้นมันเหมือนกับว่ามีลางบอกเหตุอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในประโยคนี้ ลางบอกเหตุที่ว่า...
มันจะเป็นวันสุดท้ายของเธอทั้งสามคนจริงๆ
“ไม่ต้องทำเสียงเศร้าไปหรอก สองปีเร็วจะตาย” เกวลินพูดให้หทัยชนกเพื่อนสนิทมีรอยยิ้ม
“เดียร์ก็เอาผู้ชายมาฝากรุ้งซักคนสิ ประมาณว่าปลอบใจที่เราต้องห่างกันสองปีไง”
อัญญาณีพูดให้บรรยากาศดูคึกครื้นบ้าง หทัยชนกหน้าแดงก่ำ เขินอายเต็มกำลังเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนตัวอ้วน หทัยชนกไม่ได้สวยเฉี่ยวเหมือนเกวลิน เธอเป็นคนน่ารักมีเสน่ห์ตรงลักยิ้มที่ขึ้นกลางแก้มทุกครั้งยามขยับปากพูดหรือว่าแย้มยิ้มโสภา เป็นเสน่ห์ที่เธอไม่เคยรู้ตัว หทัยชนกมีชายหนุ่มหลายคนมาติดพันแต่ทว่าเจ้าของลักยิ้มเจ้าเสน่ห์ไม่เคยเปิดรับรักชายคนไหน เธอปิดกั้นความรักที่วิ่งเข้าใส่หลายครั้งหลายหนราวกับว่ากำลังรอความรักจากใครบางคนอยู่
“บ้า...พูดอะไรก็ไม่รู้” หทัยชนกพูดอย่างเขินอาย แก้เขินด้วยการตีต้นแขนของอัญญาณีและเกวลินเบาๆ หน้าแดงก่ำจนถึงใบหู
“บ้าที่ไหน อุตส่าห์จะหาคู่ให้ไม่อยากให้รุ้งอยู่บนคานทองนิเวศน์นาน อายุก็จะเข้าเลขสามอยู่แล้วนะ ถ้าหลังจากนี้เดี๋ยวหยากไย่ขึ้นหมด”
อัญญาณีเย้าเจ้าของลักยิ้มสวย คราวนี้สาวอ้วนไม่ได้โดยตีเบาๆ แต่กลับโดนกำปั้นน้อยๆ ของหัยชนกทุบตรงต้นแขนหลายครั้ง สีเลือดขึ้นบนใบหน้ามากกว่าเดิม
“บ้าๆๆ เกตุบ้า” หทัยชนกว่าเพื่อตัวอ้วนไม่จริงจัง สะบัดบ๊อบใส่คล้ายอาการงอนที่ถูกแซวหลายครั้ง
“เห็นมั้ยเกตุ ไปแซวรุ้งมากรุ้งเลยงอนเลย แต่ไม่ต้องกลัวหยากไย่หรอกรุ้ง แค่ล้างออกหยากไย่หายวับไปกับตา ใช้งานได้ทันที แต่ก่อนที่จะล้างหยากไย่หาผู้ชายก่อนนะรุ้ง”
แรกๆ ก็ดูเหมือนหทัยชนกจะมีพวก แต่ที่ไหนได้เกวลินกับแซวทับ ก่อนจะหันหน้าไปหัวเราะกับอัญญาณีที่หัวเราะนำจนพุงกระเพื่อมไปก่อนหน้า คนที่เขินอายก็อายหนักเข้าไปใหญ่ กำปั้นน้อยๆ จึงทุบไปยังแขนของเพื่อนสนิททั้งสอง ที่หลบอุตลุดก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีไปยังบ้านพัก โดยมีร่างของหทัยชนกหญิงสาวจอมเขินอายวิ่งตามไป
ภูกระดึงเป็นสถานที่ที่สามสาวเพื่อนสนิทเลือกที่จะมาพักผ่อน ถือเป็นการเที่ยวสั่งลาก่อนที่เกวลินจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ กลิ่นอายความรัก มิตรภาพ ความผูกพันที่มีมานานสิบกว่าปี โอบล้อมรอบกายของพวกเธอ ทุกสิ่งอย่างที่บังเกิดขึ้นในความรู้สึกมันจะตราตรึงหัวใจของทั้งสามไปจนชั่วนิรันทร์
ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง