ตอนที่ 14 พอกันเถอะ
"แล้วก็ฉันจะบอกให้นายรู้ไว้ว่า หลังจากเลิกงานกลับมาฉันจะเก็บข้าวของออกไปอยู่ที่อื่น" ปมชุดคลุมถูกผูกเป็นโบว์แน่นเพื่อปิดซ่อนเรือนร่างเปลือย คะนิ้งหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าคนตัวโตแล้วเอ่ยสิ่งที่เธอคิดมาอย่างถี่ถ้วน "ฉันพอรู้ว่านายเองก็ไม่สะดวกใจที่จะให้ฉันอยู่ต่อที่นี่ ฉันเองก็อยากออกไปพอดี"
"แกหาห้องพักใหม่ได้แล้วหรือไง" เธอเพิ่งแจ้งเขาเมื่อวันก่อนเองนะ เอาเวลาไหนไปหาที่อยู่ใหม่ได้เร็วขนาดนั้น
"ฉันฝากพี่นุชช่วยหาให้ ระหว่างหาห้องฉันจะไปขออยู่กับพี่นุชก่อนก็ได้" อย่างน้อยก็คงไม่รู้สึกอึดอัดเท่าอยู่ร่วมกับเขา
"ทำไมต้องไปลำบากคนอื่นด้วย พักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้หนิ มีที่ไปค่อยไป รีบอะไรขนาดนั้น" ติณห์ขมวดคิ้วฉับไม่เข้าใจเธอที่มักจะทำเรื่องง่ายให้มันดูยาก
"ไม่ดีกว่า แค่นี้ฉันก็รบกวนนายมามากพอแล้ว" ความจริงที่เธอได้ยินเมื่อตอนเย็นทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเขาเริ่มเปลี่ยนไป แต่ก็พอเข้าใจยังไงติณห์ก็ต้องเลือกแคร์ความรู้สึกแฟนสาวของเขาเป็นอันดับแรก ส่วนเธอเป็นแค่เพื่อน เพื่อนที่เขาไม่คิดจะเข้าใจความรู้สึกเธอบ้างเลยสักนิด
"ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่นี่แหละ" เขาสั่งแกมบังคับ ใบหน้าคมเรียบตึงกว่าเดิมครั้นคะนิ้งยังรั้น
"ไม่ ฉันจะไปขอพักกับพี่นุช"
"คะนิ้ง!"
"นายอย่าตัดสินใจอะไรแทนฉันได้ไหม นี่มันชีวิตของฉันนะ ฉันจะเป็นไปยังไงมันก็ควรอยู่ที่ตัวฉันเลือกเอง" เธอเริ่มไม่ชอบเมื่ออีกฝ่ายกำลังทำตัวเป็นเจ้าชีวิตบงการเธอเสียทุกอย่าง
"อวดเก่งเข้าไป" คนอย่างเธอนอกจากเขาแล้วเธอก็แทบไม่มีที่พึ่งพาอื่นเลย จะมีปัญญาไปจากเขาได้นานแค่ไหนกันเชียว ชายหนุ่มสบประมาทเธอในใจ
"ฉันไม่ได้อวดเก่งนะติณห์"
"มีเงินออกไปตั้งหลักเองเท่าไหร่"
"ประมาณสามหมื่นกว่าบาท" เธอเก็บเล็กเก็บน้อยจากงานร้านอาหารที่ทำ ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดเท่าที่เธอเคยเก็บออมมาในชีวิต
คำตอบของเธอทำเอาติณห์แค่นหัวเราะหยัน ส่ายหัวไปมา
"เฮอะ เงินแค่สามหมื่นน่ะเหรอริอ่านจะออกไปอยู่ข้างนอก รู้ไหมว่าค้าครองชีพมันสูงขนาดไหน"
คะนิ้งไม่ได้ตอบ เธอนิ่งคิดในใจ 'เธอรู้ว่าข้างนอกมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่วเพียงใด แต่เธอจำเป็นต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวเสียที' คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก และอีกอย่างควรถอยห่างจากติณห์เสียที
"เอาเป็นว่านายไม่น้อยมายุ่งกับเรื่องของฉัน" น้ำเสียงหวานย้ำหนักแน่นกับคำว่า เรื่องของฉัน แต่คนฟังกลับรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ ร่างสูงผุดลุกจากเตียงนอน ฝ่าเท้าหนาสืบเข้าไปหาร่างบอบบางตรงหน้า เธอตกใจรีบถอยร่นหนีตามสัญชาตญาณ หากเขากลับก้าวตามมาติด ๆ จนกระทั่งแผ่นหลังชิดผนังกำแพงห้อง เธอไร้หนทางไป ดวงตากลมช้อนขึ้นมองติณห์หวั่น ๆ ในใจ
"พอเอาตัวรอดได้ก็ถีบหัวส่งฉันหรือไง แบบนี้เขาเรียกว่าเนรคุณนะ"
"ฉันไม่ได้ถีบหัวส่งนาย แต่แค่ต้องการออกไปอยู่ข้างนอก ไม่อยากให้นายกับฉันสนิทสนมกันเกินเลยไปกว่านี้ ฉันก็แค่อยากเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ต้องรู้สึกผิดทุกครั้งที่ทำอะไรแย่ ๆ ลงไป ไม่อยากต้องทำผิดศีล..." เธอยังโทษตัวเองที่ไม่อาจหักห้ามใจ และขัดขืนติณห์ไม่ได้จนสุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดก็เลยเถิดจนยากจะหยุดยั้ง คะนิ้งจึงถามเขากลับ "แล้วนายล่ะติณห์ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอที่ทำอะไรแบบนี้ลับหลังแฟนตัวเอง"
"อ๋อ..." เขาลากเสียงอ๋อยาวทันทีเมื่อทราบอีกปัจจัยทำให้เธออยากย้ายที่อยู่หนีตน "แบบนี้นี่เองสินะที่แกอยากไปให้พ้นจากฉัน"
"ใช่ ฉันอยู่ต่อไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้ว" เพียงแค่นี้เธอก็รู้สึกขยะแขยงร่างกายตัวเองจะแย่อยู่แล้ว เมื่อก่อนเธอคือเพื่อนสนิทของเขา ไม่ใช่นางบำเรอกาม แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าในสายตาติณห์มองเธอในสภานะอะไร...
"ฉันเคยบอกแกแล้วนะ กับแกก็แค่อยากสนุกด้วย ไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษ ยังไงคนสำคัญที่สุดในใจฉันก็คือพลอย อีกอย่างตราบใดที่พลอยไม่รู้เรื่องฉันกับแกก็ไม่เห็นมีอะไรต้องวิตก ฉันจำเป็นต้องละอายใจด้วยเหรอในเมื่อฉันมีอารมณ์ ฉันก็แค่อยากหาที่ปลดปล่อยตอนแฟนไม่ได้อยู่ด้วยเท่านั้น"
"ติณห์!" คะนิ้งแทบช็อคกับคำตอบที่ได้ ติณห์ไร้จิตสำนึกสิ้นดี ความคิดเขาบิดเบี้ยวจนจูนไม่ติดแล้ว
"แกไม่พูด ฉันไม่บอกใครก็ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าพวกเราเอากันบ่อยขนากไหน"
"ถึงจะไม่มีใครรู้ แต่พวกเรารู้อยู่เต็มอกไงติณห์ว่ากำลังทำผิด"
"จะเป็นไรไป...ผิดกี่ครั้งแล้วล่ะแกได้นับไว้หรือเปล่า" คิ้วเข้มเลิกขึ้นถาม มุมปากหยักกระตุกยิ้มร่าสะพรึงกลัว สีหน้าของติณห์ติดเย็นชา และเรียบนิ่ง คะนิ้งไม่สามารถอานออกว่าแท้จริงแล้ว ติณห์กำลังคิดทำสิ่งใด
อะไรถึงเปลี่ยนคนคนหนึ่งให้กลายเป็นคนแย่ได้ขนาดนี้?
คะนิ้งยืนอ้าปากค้างไปอีกครั้งครั้นติณห์กล่าวจบประโยคถัดมา
"ถ้าไม่ได้นับฉันจะช่วยนับให้ มาเริ่มนับกันใหม่ดีปะล่ะ"
"นะ นายหมายความว่าไง"
"ทำผิดอีกสักรอบจะเป็นไรไป ว่าไหม..." ชายหนุ่มโคลงศีรษะยามขอความเห็นจากเธอ
"หยุดคิดอะไรบ้า ๆ ได้แล้ว ฉันต้องรีบแต่งตัวไปทำงาน แล้วจะขอพูดเรื่องพวกนี้วันนี้เป็นครั้งสุดท้าย พอกันแค่นี้เถอะนะติณห์" เธอวิงวอนขอร้อง หวังว่าติณห์จะหลงเหลือความเห็นใจแก่เธอบ้างสักนิด ทว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย
"แกคิดว่าฉันจะพอแค่นี้ง่าย ๆ จริง ๆ เหรอ"
อะไรที่เป็นของเขามันก็ต้องเป็นของเขาไปตลอด จนกว่าเขาจะเบื่อหน่าย แล้วยอมทิ้งของสิ่งนั้นเอง
เธอไร้ค่าเมื่อไหร่เขาจะปล่อยเมื่อนั้น แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้
"หยุดนะ ติณห์!"
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ติณห์ข่มเหงรังแกเธอ และอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าเธอยังชักช้าไม่ไปจากที่นี่สักที
ทันใดนั้นติณห์ก็ใช้แขนตวัดกอดรอบเอวคอด ดึงเธอเข้ามากอดแนบลำตัวเบียดชิดกัน มือหนาอุ่นร้อนเริ่มปัดป่ายไปทั่วเรือนร่างอรชรผ่านชุดคลุมสีขาวบาง ใบหน้าคมหล่อเหลาก้มซุกคลอเคลียซแกคอขาว พลางสูดดมกลิ่นกายสาวอย่างหื่นกระหาย คะนิ้งย่นคอหนีสัมผัสอันจาบจ้วง พยายามดันตัวเขาออกห่างสุดพละกำลังที่มี แต่ยิ่งดีดดิ้นขืนตัวเท่าไหร่ติณห์ก็กอดรัดลำตัวเธอแน่นมากขึ้นเท่านั้นทำเอาเธอหายใจไม่ออก
"อื้อ!"
ไม่ทันมีโอกาสร้องโวยวายด้วยซ้ำ ปากหยักจูบก็จู่โจมจูบลงมา ตะโบมจูบหนักหน่วงแทบขาดลมหายใจ เสียงหวานได้แต่เปล่งร้องประท้วงในลำคอ วินาทีถัดมาเพียงแค่เผลอไม่ทันไรโบว์ที่ผูกเป็นปมระหว่างช่วงเอวก็ถูกคลายออกง่ายดายด้วยฝีมือเขา
ติณห์กระชากชุดคลุมตัวนอกของเธอออก ตามด้วยผ้าขนหนูห่อตัวตกร่นไปอยู่ข้อเท้าเป็นที่เรียบร้อย จนไม่หลงเหลืออาภรณ์ใดปิดกั้นร่างกายขาวเนียน
ซาตานในร่างคนจ้องสำรวจเธออย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เมื่อผลจะจูบออก ติณห์ก็จับเธอทุ่มลงเตียงเต็มแรง ทำเอาคะนิ้งเบ้หน้าจุก น้ำตาแทบเลดหางตา เตรียมจะวิ่งหนีออกจากห้อง แต่โดนเขาจับข้อเท้าไว้ พร้อมลากตัวเธอกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง
"ติณห์ อย่าทำแบบนี้เลยนะ พอเถอะ ฉันไม่อยากให้เรืีองแบบรี้มันเกิดกับเราอีกแล้วจริง ๆ"
คะนิ้งอ้อนวอนขอเขาทั้งน้ำตา อีกฝ่ายกลับทำตรงกันข้าม เขารีบถอดเสื้อผ้าบนตัวออกทิ้งไปไว้ข้างเตียง คะนิ้งตาเบิกโพลงกว้างเมื่อรู้ชะตากรรมตัวเองต่อจากนี้ ร่างเธอสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัวจับใจ เขาขึ้นคร่อมตัวเธอเอาไว้จนไม่สามารถหนีรอดเงื้อมมือ
"เลิกร้องไห้เอาน้ำตามาเรียกความสงสารได้แล้ว ฉันไม่ใช่คนที่จะเห็นใจใครหรอกนะ กับอีแค่มีอะไรกันทำเป็นกลัวจนตัวสั่น!"
"ฮึก!"