ตอนที่ 1 น้องขายหรือเปล่า
"ขนข้าวของมันออกมาให้หมดเลยนะพวกเอ็ง อย่าให้มีของสักชิ้นหลงเหลือในห้องนั้น!"
"โธ่! ป้าสุขจ๊ะ ฉันขอติดไว้สักงวดไม่ได้เหรอ..." คะนิ้งพนมมือไหว้อ้อนวอนขอป้าสุขใจเจ้าของหอที่เธอเช่าพักอาศัยอย่างหมดหนทางเลือก หากถูกไล่ออกจากที่นี่ไปตอนนี้เธอก็ไม่ต่างจากคนไร้บ้านสักนิด คืนนี้เธอจะพักอยู่ที่ไหนล่ะ
"ไม่ได้ แกค้างป้ามาสองงวดแล้ว ทวงก็ทวงยาก ๆ ป้าต้องปล่อยให้คนอื่นเขามาอยู่แทน แกไปหาที่ใหม่อยู่เถอะ!"
แต่ป้าสุขใจใจดีมาหลายหนแล้ว คราแรกอนุโลมให้เธอสามารถผ่อนจ่ายค่าห้องครึ่งหนึ่งเพราะเห็นใจเธอที่จะต้องไปเรียนตอนเช้า แล้วไหนจะต้องอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานตอนเย็นในทุก ๆ วัน เพราะพื้นเพชีวิตของคะนิ้งนั้นน่าสงสาร เธอไม่มีที่พึ่งพา ไร้ญาติขาดพี่น้องที่จะช่วยเหลือ
ตั้งแต่จำความได้คะนิ้งไม่รู้จักแม้แต่ชื่อบิดา มารดา รูปร่างหน้าตาผู้ให้กำเนิดเป็นเช่นไรเธอไม่มีโอกาสเห็นสักครั้ง เธอถูกทอดทิ้งไว้ข้างถังขยะหลังวัดแห่งหนึ่งในตอนนั้นเธอเพิ่งออกมาลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน
โชคยังดีเพราะผู้ใหญ่ใจดีที่ดูแลบ้านเด็กกำพร้ารับอุปการะจนเติบใหญ่ ส่งเสียเธอเรียนหนังสือจวบจนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัยด้วยความที่คะนิ้งไม่อยากรบกวน 'แม่พราว' ผู้ที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่แบเบาะ
พออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ คะนิ้งตัดสินใจย้ายออกจากบ้านที่เคยพักอาศัยตั้งแต่เล็ก เมื่อเธอมั่นใจว่าสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และนำเงินก้อนหนึ่งที่มีติดตัวไปทำการจ่ายค่ามัดจำเช่าห้องพักเล็ก ๆ ราคาประหยัดอยู่ เงินก้อนนั้นเธอได้มาจากแม่พราวยัดใส่มือให้ก่อนบอกลาท่านเป็นครั้งสุดท้าย
พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางเงินก้อนเดียวก็ใกล้จะหมดพอดี คะนิ้งจึงหางานทำ ร่วมกับเรียนไปด้วย แม้จะเหนื่อยหน่อยแต่เธอก็ไม่เกี่ยงงานเลยสักนิด เมื่อตัดสินใจออกมาแล้วเธอรับปากกับตัวเองว่าจะต้องไปให้รอดด้วยตัวเอง และจะไม่ทำให้แม่พราวต้องเป็นห่วงเหมือนว่าเธอยังไม่โตซักที หากมีปัญหาอะไรเธอจะจัดการมันด้วยตัวเองเพราะเธอไม่ใช่เด็กอมมือแล้ว อย่างเช่น ขณะนี้ที่ชีวิตเธอกำลังเผชิญปัญหาเข้าขั้นวิกฤต คะนิ้งกลับไม่ยอมติดต่อไปขอความช่วนเหลือจากแม่พราว
หากต้องเล่าย้อนความนั้น คงต้องเริ่มจากสาเหตุหลัก นั่นคือช่วงพักหลัง ๆ ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเธอ หรือคงไม่ใช่ช่วงดวงตกหรอกใช่ไหม คะนิ้งได้งานที่ใหม่ซึ่งเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวมหาวิทยาลัย และใกล้ที่พัก เห็นเพื่อนที่รู้จักเขาแนะนำมาว่ารายได้ดี แถมทิปหนัก
แต่ความซุ่มซ่ามของเธอเลยพาซวยบางทีทำแก้วในร้านแตก ทำจานหล่น ทำอาหารหก จึงทำให้โดนหักค่าเสียหายจากค่าจ้างรายวันของเธอที่ควรจะได้รับนั้นเอง จากค่าจ้างวันละสามร้อยหกสิบบาทไม่รวมทิปจากลูกค้า แต่เจ้านายเล่นหักเงินค่าจ้างไปวันละร้อยสองร้อยบาท เงินที่เหลือให้ก็แทบจะเป็นเศษสตางค์ ทำงานแทบตายสุดท้ายก็ไม่พอค่าใช้จ่าย
ไหนจะค่าครองชีพที่สูงลิ่วขึ้นทุกวัน
ค่าน้ำค่าไฟ และค่าเช่าห้อง นี่ยังไม่นับรวมค่าเทอมอีกนะ
"ป้าสุข! แล้วนิ้งจะไปอยู่ไหนล่ะ นิ้งไม่มีบ้านนะ ไม่มีที่ให้ไปแล้วด้วย"
"นั่นมันเรื่องของแกนางนิ้ง ป้าเมตตาแกมามากแล้ว!"
"อ้าว ป้าสุข ป้าสุขเดี๋ยวก่อนสิ"
เมื่อใช้ลูกน้องขนข้าวขนของของคะนิ้งออกมาไว้นอกห้องพักเสร็จเรียบร้อย ป้าสุขใจจึงจัดการใช้กุญแจตัวใหม่ล็อคห้องว่างกันไว้ไม่ให้เธอเข้าไปเหยียบได้อีก และเพื่อรอลูกบ้านคนใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ต่ออีกสองวันหลังจากนี้
คะนิ้งทำได้เพียงร้องห้ามป้าแกด้วยความจนปัญญา แต่ผู้ใหญ่ที่เคยเมตตากลับไม่ชายตาแลเธอสักนิดเดียว หญิงร่างท่วมวัยกลางคนสะบัดแขนอย่างแรงจนมือคะนิ้งที่จับรั้งป้าสุขใจเอาไว้นั้นหลุด
"แค่จ่ายเงินช้ากว่ากำหนดไม่กี่วันเองนะ..."
คะนิ้งไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อจากนี้ คืนนี้ต้องนอนที่ไหน แถมเธอเพิ่งกลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ อยากเข้าห้องไปนอนพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย ทว่าดันเกิดเรื่องบ้า ๆ นี่ขึ้นมาเสียก่อน
หญิงสาวหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่วางบนพื้นขึ้นมาสะพายพาดบ่า มองประตูห้องพักที่เคยอาศัยอย่างอาลัยครู่หนึ่งแล้วพ่นลหายใจออกมาราวกับปลงกับชีวิต...คืนนี้นอนใต้สะพานดีไหมนะ?
จากนั้นจึงก้าวเดินไปข้างหน้าตามถนนที่มีแสงจากหลอดไฟสาดส่องให้สว่างตลอดทาง เธอหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมาดูเวลาจึงทราบว่าขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง ซึ่งข้าวยังไม่ทันตกถึงท้องตั้งแต่เที่ยง
เพราะวันนี้มีเรียนเช้าเลิกคราสตอนเที่ยงเธอก็ต้องรีบไปเข้างานต่อที่ร้านทันที ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนลืมทานข้าวไปโดยปริยาย นึกขึ้นได้อีกทีร่างกายแทบไม่มีเรี่ยวแรงก้าวเดิน สัมภาระบนบ่าก็เริ่มรู้สึกว่ามันหนักขึ้นเรื่อย ๆ หรือเพราะเธอกำลังอ่อนแรงกันแน่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ
เมื่อเดินมาถึงป้ายรถเมล์คะนิ้งก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี สุดท้ายเธอจึงวางข้าวของลงเสียตรงนั้น หย่อนก้นนั่งพักแล้วคิดหาหนทางเอาตัวรอดต่อจากนี้ สภาพเธอยามนี้ไม่ต่างจากหมาที่กำลังซมซานหรอก ดีที่บริเวณนี้ไม่มีคนเพราะเธอเผลอสบถด่าตัวเองตั้งหลายครั้งราวกับคนเสียสติ
และต่อให้คิดหาทางยังไงก็ไม่พบทางที่ดีหรอกคนอย่างเธอมีทางเลือกซะที่ไหนกันล่ะ
ปรี๊บ ๆ!!
จู่ ๆ รถยนต์คันหนึ่งก็เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบฝั่งข้างฟุตบาทบีบแตรเสียงดังจนคะนิ้งต้องเงยหน้าขึ้นมอง กระจกทึบสีดำฝั่งผู้นั่งข้างคนขับเลื่อนลงเผยให้เห็นหน้าของเจ้าของรถคันดังกล่าวเป็นชายวัยห่าม ๆ สองคนส่งยิ้มกระเหี้ยนกระหือรือให้ ทำเอาเธอเริ่มรู้สึกหวั่น
"น้อง ๆ มานั่งทำอะไรตรงนี้ดึก ๆ ดื่น ๆ คนเดียวล่ะ"
"เปล่าค่ะ ฉันกำลังจะกลับแล้ว" เธอรีบปฏิเสธรีบหยิบกระเป๋าเตรียมจะเดินหนี แต่แล้วชายสองคนกลับเปิดประตูรถลงมาดักข้างหน้าเธอเอาไว้ทัน
"หรือมายืนขายตัวเหรอ"
"ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้รับงานแบบนั้น!"
"แล้วสนใจรับไหมล่ะน้องสาว เท่าไหร่ก็ว่ามาเลย ขาว ๆ สวย ๆ แบบนี้เสียเท่าไหร่พี่ก็ยอมจ่าย"
"บอกว่าไม่ก็ไม่สิคะ!" แม้ตอนนี้เธอต้องการเงิน ต้องการที่ซุกหัวนอน แต่การหยิบยื่นข้อเสนอเอาตัวแลกกับเงินเพียงไม่กี่บาท เธอไม่มีทางทำ ถ้าแม่พราวรู้ว่า เธอทำตัวเหลวไหลแบบนั้นคงผิดหวังในตัวเธอแย่เลย ยอมนอนข้างถนนยังดีกว่าต้องไปกับผู้ชายหน้าตาหน้ากลัว สายตาลามกจนน่าขยะแขยงที่มองแทะโลมเธอนั่นอีก
"อย่าเล่นตัวหน่อยเลยน้อง ไปลองงานดูไหมเผื่อมันเป็นทางที่น้องชอบ"
"ไม่ค่ะ หลีกทางให้ฉันด้วย ฉันจะกลับแล้ว!" เธอปฏิเสธอย่างเดียว
"เดี๋ยวก่อนดิน้อง ทำไมเล่นตัวแบบนี้วะ!"
ทว่าหนึ่งในสองคนนั้นรีบดึงตัวร่างอรชรเอาไว้กลัวว่าเธอจะหลุดมือไป คะนิ้งจึงดีดดิ้นหวังให้หลุดจากพันธนาการน่ารังเกียจ แต่แรงผู้ชายตัวใหญ่หนาย่อมมีมากกว่าสาวร่างบอบบาง ทำให้คะนิ้งไม่สามารถต่อต้านอีกฝ่ายได้
"ปล่อยฉันนะ ปล่อยสิ! ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนมาช่วยนะ!" เธอขู่ฟ่อหาทางเอาตัวรอด แต่หารู้ไม่ว่าอันธพาลสองคนนั้นไม่เกรงกลัว ต่อให้กระทำการอุกอาจกับเธอแค่ไหนก็ไม่มีใครมาช่วยได้หรอก ไม่มีใครมาเห็นด้วย
"ไปกับพวกพี่ซะดี ๆ"
"ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้!" ในสถานการณ์ย่ำแย่กลับมีเสียงทุ้มเข้มจากอีกฝั่งหนึ่งดังขึ้นแทรก คนที่กำลังฉุดกระชากกันไปมาก็หยุดชะงักไปตาม ๆ กัน ก่อนจะหันไปตามต้นเสียงที่มาขัดความสุขของพวกตน
"แกเป็นใครวะ!
ชายหนุ่มในชุดนิสิตนักศึกษาเดินลงจากรถยนต์คันหรูแล้วปรี่ตัวตรงเข้ามาร่วมแกม "แล้วพวกแกล่ะเป็นใคร"
คะนิ้งเห็นตราสัญลักษณ์ที่หัวเข็มขัดของชายหนุ่มที่เข้ามาช่วย ซึ่งเป็นของทางมหาวิทยาลัยเดียวกับที่เธอเรียน
"กะ...ก็..." สองคนนั้นเริ่มหวาดหวั่น คราแรกกล้าลงมือรังแกหญิงสาวก็เพราะแถวนี้ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน และคิดว่าเธอคงเล่นด้วย แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มผิดแผน สองคนจึงหันไปมองหน้ากันเพื่อสื่อสารกันผ่านสายตา ว่าควรถอย "เปล่าหรอก ผมแค่เข้าใจน้องเขาผิด เห็นออกมานั่งตรงหน้าป้ายก็คิดว่าขายตัวซะอีก!"
"ถ้าไม่ได้ขายก็แล้วไป พวกผมขอตัว" อีกคนบอกทำทีฮึดฮัดเพื่อกลบเกลื่อนความผิดตน
"คนกระจอกแบบพวกแกมันน่ารังเกียจจริง ๆ!"
แน่นอนว่าติณห์ฉลาดทันคน เขาดูออกว่าผู้หญิงตรงหน้าโดนรังแก แถมเกือบจะถูกลากให้ขึ้นรถไปทำมิดีมิร้ายต่อเธออีก ก่อนพวกอันธพาลจะเผ่นรถจากไป เสียงทุ้มเหี้ยมไม่ลืมเอ่ยข่มตามหลัง ทำเอาคนได้ยินขนหัวลุกซู่