ตอนที่ 6: คำอธิษฐานในความมืด
วันอังคาร, ช่วงบ่าย
คอนโดของตะวัน
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกตัดไปยังคงดังอยู่ในความเงียบของห้อง ตะวันยังคงนั่งขดตัวอยู่บนพรมข้างโซฟาในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน โทรศัพท์มือถือตกอยู่ที่พื้นข้างตัวเธอ หน้าจอดับมืดไปแล้ว
โลกภายนอกยังคงดำเนินต่อไป เสียงรถราจากถนนด้านล่างยังคงดังแว่วเข้ามา แสงแดดยามบ่ายยังคงส่องกระทบระเบียง แต่สำหรับตะวันแล้ว ทุกอย่างได้หยุดนิ่งลง โลกของเธอหดแคบลงจนเหลือเพียงเสียงสะท้อนของคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน
"เราเลิกกันเถอะ"
มันไม่ใช่แค่การสูญเสียคนรัก แต่มันคือการยืนยันว่าเธอถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์ เธอไม่มีค่าพอให้ใครสักคนอยู่เคียงข้างในยามที่ลำบากที่สุด
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เธอไม่รู้ อาจจะหนึ่งชั่วโมง หรืออาจจะสามชั่วโมง เธอไม่ได้ขยับตัว ไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้แม้แต่จะร้องไห้ น้ำตาที่เคยไหลออกมาอย่างง่ายดาย บัดนี้กลับเหือดแห้งไปหมดสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกว่างเปล่าที่หนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก
โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นหลายครั้ง หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นแสดงชื่อของ "มีนา" แต่เธอก็ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไปเอง เธอไม่มีแรงจะพูดคุยกับใคร ไม่มีแรงจะอธิบายความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของตัวเองอีกต่อไป
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง แสงสีทองของยามเย็นสาดเข้ามาในห้อง ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยแสงไฟนีออนจากตึกฝั่งตรงข้าม ความมืดค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่งในห้อง... และในใจของเธอ
วันเดียวกัน, 19:30 น.
บ้านของมีนา
มีนากระวนกระวายใจจนนั่งไม่ติดที่ เธอโทรหาตะวันสิบกว่าสายแล้ว แต่เพื่อนรักก็ไม่รับเลยสักครั้ง ข้อความไลน์ที่ส่งไปก็ขึ้นว่า "อ่านแล้ว" แต่ไม่มีการตอบกลับใดๆ
"ใจเย็นๆ ก่อนลูก" แม่ของเธอบอกขณะที่กำลังจัดโต๊ะอาหารเย็น "เพื่อนอาจจะแค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวน่ะ"
"แต่มันไม่ปกติค่ะแม่" มีนาตอบ "ตะวันไม่เคยเป็นแบบนี้ อย่างน้อยเขาน่าจะตอบหนูบ้างว่าโอเค"
สัญชาตญาณของเธอกรีดร้องว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างรุนแรง ความทรงจำเรื่องท่าทีแปลกๆ ของนนท์เมื่อคืนก่อนผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง หรือว่านนท์จะทำอะไรตะวัน?
เธอทนรอต่อไปไม่ไหว "หนูขอออกไปดูตะวันแป๊บนึงนะคะแม่ เดี๋ยวกลับมาทานข้าว"
เธอคว้ากุญแจรถแล้วรีบออกจากบ้านทันที ตลอดเส้นทางที่ขับรถไปยังคอนโดของตะวัน ในใจของเธอก็ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเลย
เมื่อมาถึงหน้าห้องของตะวัน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเคาะประตู... เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ เธอแนบหูลงกับประตู ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากข้างในเลย
"ตะวัน! อยู่ข้างในรึเปล่า! นี่เราเองนะ!" เธอตะโกนเรียกพลางเคาะประตูรัวๆ
ยังคงเงียบสนิท
ความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจ มีนาตัดสินใจใช้กุญแจสำรองที่ตะวันเคยให้ไว้ไขประตูเข้าไป
"ขอเข้าไปนะตะวัน"
ทันทีที่ประตูเปิดออก สิ่งแรกที่เธอสัมผัสได้คือความมืดและความเงียบที่ผิดปกติ เธอยื่นมือไปคลำหาสวิตช์ไฟข้างประตูจนเจอแล้วกดเปิด
แสงไฟสว่างวาบขึ้น เผยให้เห็นร่างของตะวันที่นอนขดตัวอยู่บนพรมข้างโซฟาในชุดเดิมตั้งแต่เมื่อวาน ดวงตาของเธอลืมอยู่ แต่สายตานั้นเหม่อลอยมองไปยังจุดที่ว่างเปล่า
"ตะวัน!" มีนารีบถลาเข้าไปคุกเข่าลงข้างๆ "เธอเป็นอะไรไป! ทำไมไม่รับโทรศัพท์เราเลย"
ตะวันค่อยๆ หันมามองเธอช้าๆ เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ในห้อง "มีนา..."
"เกิดอะไรขึ้น บอกเรามานะ"
ตะวันไม่ตอบ เธอเพียงแค่ส่ายหน้าช้าๆ แววตาของเธอว่างเปล่าจนน่ากลัว
วันพุธ, ช่วงสาย
คอนโดของตะวัน
ตะวันนอนซมอยู่บนเตียงมาตลอดทั้งคืนและทั้งเช้า มีนาเฝ้าเธอไม่ห่าง คอยเช็ดตัวและพยายามป้อนโจ๊กให้ แต่ตะวันก็ทานเข้าไปได้แค่ไม่กี่คำ
ในที่สุด ตะวันก็ยอมปริปากเล่าเรื่องที่นนท์บอกเลิกเธอให้ฟัง
มีนาโกรธจนตัวสั่น "ผู้ชายเฮงซวย! กล้าดียังไงมาทิ้งเธอในเวลาแบบนี้!"
แต่ตะวันกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เธอแค่เล่ามันออกมาเหมือนกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น
ความสิ้นหวังและความพ่ายแพ้ได้กัดกินจิตใจของเธอไปจนหมดสิ้นแล้ว เธอเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าพระเจ้าได้ทอดทิ้งเธอจริงๆ คำสอนเรื่องความรักและความเมตตาที่เธอเคยยึดถือมาทั้งชีวิต บัดนี้กลายเป็นเรื่องหลอกลวง
ในขณะที่จิตใจของเธอกำลังจมลงสู่จุดที่ลึกที่สุดนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความมืด มันไม่ใช่ความคิดของ "ตะวันผู้ศรัทธา" อีกต่อไป
ถ้าพูดคุยดีๆ ไม่ได้ผล... ถ้าความถูกต้องมันช่วยอะไรไม่ได้... แล้วจะทำยังไงต่อ
เธอหลับตาลง ภาพใบหน้าของพี่ก้อยที่ยิ้มเยาะ ภาพของนัทที่หลบสายตา, และภาพของนนท์ที่มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า... ซ้อนทับกันอยู่ในความมืด
บางที... อาจจะต้องลองคุยกับเขาอีกสักครั้ง
เป็นความคิดที่ไร้เหตุผล แต่สำหรับคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว มันคือฟางเส้นสุดท้าย
"มีนา..." ตะวันพูดขึ้นเสียงเบา "เรา... เราอยากไปหานนท์"
"จะไปหาเขาทำไม!" มีนาคัดค้าน "อย่าไปลดคุณค่าตัวเองให้คนแบบนั้นเลยตะวัน"
"เราแค่อยากไปคุยกับเขาให้เข้าใจ... แล้วก็จะไปเก็บของของเราที่ยังอยู่ที่ห้องเขาน่ะ" เธอพูด "ไปกับเราหน่อยได้ไหม"
มีนามองหน้าเพื่อนรักที่ดูน่าสงสารจับใจแล้วก็ใจอ่อน "ก็ได้... ก็ได้ แต่ถ้าเขาพูดจาไม่ดีกับเธออีก เราจะลากเธอกลับทันทีเลยนะ"
ตะวันพยักหน้ารับช้าๆ
15:00 น.
คอนโดของนนท์
ตะวันใช้คีย์การ์ดของตัวเองเปิดประตูเข้าไปในคอนโดของนนท์ เธอเคยมีมันในฐานะคนรัก แต่ตอนนี้มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังเป็นผู้บุกรุก
ทันทีที่ประตูเปิดออก... กลิ่นแรกที่ปะทะจมูกของเธอก็ทำให้ร่างของเธอแข็งทื่อ มันเป็นกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง กลิ่นหอมๆ ที่เธอไม่คุ้นเคย
มีนาที่เดินตามเข้ามาก็สังเกตเห็นเช่นกัน เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปที่ชั้นวางรองเท้า
รองเท้าส้นสูงสีแดงเพลิงคู่หนึ่งวางอยู่ข้างๆ รองเท้าหนังของนนท์
ตะวันก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าเหมือนคนละเมอ หัวใจของเธอที่คิดว่ามันได้แตกสลายไปแล้ว บัดนี้กลับถูกบดขยี้ซ้ำอีกครั้ง เธอเดินผ่านห้องนั่งเล่นที่ดูเรียบร้อย บนโต๊ะกาแฟมีแก้วไวน์สองใบวางอยู่ ใบหนึ่งมีรอยลิปสติกสีแดงสดติดอยู่ที่ขอบแก้ว
เสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงคนหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากห้องนอนที่ประตูแง้มอยู่
มีนารีบเดินเข้ามาคว้าแขนเพื่อนไว้ "ตะวัน... กลับกันเถอะ อย่าเข้าไปดูเลย"
แต่ตะวันกลับสลัดแขนของเธอออก เธอเดินตรงไปยังประตูห้องนอนนั้นเหมือนถูกแม่เหล็กดึงดูด
เธอค่อยๆ ผลักประตูที่แง้มอยู่นั้นให้เปิดออกจนสุด...
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือความจริงที่โหดร้ายที่สุด นนท์อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน กำลังนั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ผู้หญิงผมสีบลอนด์ยาวที่ตะวันเคยเห็นรูปในอินสตาแกรมคนนั้น ทั้งสองคนหันมามองที่ประตูด้วยความตกใจ
นนท์เบิกตากว้าง "ตะวัน! เธอ... เธอเข้ามาได้ยังไง"
ผู้หญิงคนนั้นรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดอก แววตาของเธอมองมาที่ตะวันอย่างรำคาญใจมากกว่าจะรู้สึกผิด
ตะวันไม่ได้กรีดร้อง...
เธอไม่ได้ร้องไห้...
เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ...
ในวินาทีนั้นเอง "ตะวันผู้ศรัทธา" ที่เคยเชื่อมั่นในความดีงามและความรักก็ได้ตายลงอย่างสมบูรณ์แบบ ความเจ็บปวด ความอัปยศ ความโกรธแค้น... ทุกอย่างหลอมรวมกันจนกลายเป็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไป
เธอค่อยๆ ถอยหลังออกมาจากห้องช้าๆ หมุนตัว แล้วเดินออกจากคอนโดไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
มีนารีบวิ่งตามออกมาด้วยความสับสนและเป็นห่วงสุดขีด "ตะวัน! ตะวัน! รอเราด้วย!"
ตะวันเดินตรงไปที่ลิฟต์ กดปุ่มลงแล้วยืนรออย่างสงบ ใบหน้าของเธอเรียบเฉยจนน่ากลัว ในที่สุดประตูลิฟต์ก็เปิดออก เธอเดินเข้าไปข้างใน มีนาวิ่งตามเข้ามาทันพอดี
ภายในลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวลง มีนาไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา เธอทำได้แค่มองเพื่อนรักที่ยืนนิ่งเหมือนรูปสลัก
ตะวันจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองบนผนังลิฟต์ที่มันวาว ความรู้สึกว่างเปล่าเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่คมกริบและชัดเจน โลกที่เคยดูเหมือนภาพเบลอๆ บัดนี้กลับมาอยู่ในโฟกัสอีกครั้ง แต่เป็นสีสันที่แตกต่างไปจากเดิม... มันคือโลกที่ไม่มีที่ว่างสำหรับความเมตตาอีกต่อไป
ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่าง ประตูเปิดออก ตะวันก้าวเดินออกไปสู่สายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนัก
เธอหยุดยืนอยู่กลางสายฝน ปล่อยให้มันชะล้างร่างกายของเธอ แต่ไม่ได้ช่วยให้ความร้อนรุ่มในใจลดลงเลยแม้แต่น้อย
คำอธิษฐานครั้งสุดท้ายได้ก่อตัวขึ้นในความเงียบของจิตวิญญาณ...
แต่มันไม่ใช่การวิงวอนต่อพระเจ้าอีกต่อไป...
มันคือ "สัตย์สาบาน" ที่เธอทำกับตัวเอง
และในวินาทีนั้นเอง... ท่ามกลางกลิ่นฝนและกลิ่นดินที่ชื้นแฉะ... เธอก็ได้กลิ่นมันเป็นครั้งแรก
กลิ่นกุหลาบ...
กลิ่นกุหลาบที่หอมอบอวลอย่างน่าประหลาด เป็นกลิ่นที่สมบูรณ์แบบและลึกลับจนไม่ควรจะมีอยู่จริงในพายุฝนเช่นนี้
มันไม่ได้มาจากที่ไหน... แต่มันมาจากตัวของเธอเอง
รัตติกาล... ได้ตื่นขึ้นแล้ว