ความทรงจำสีหม่น (60%)
7.29 น.
“ยัยแว่น! ฉันบอกให้เอาการบ้านมา!”
“เอาการบ้านมาให้พวกฉัน ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
เสียงเข้มๆ ข่มขู่ ตามมาด้วยถ้อยคำบีบบังคับจากสองแฝดนรกประจำห้อง หากแต่คำสั่งเหล่านั้นหาได้ทำให้คนที่โดนแบบนี้เป็นประจำจนชินชาหวาดกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามคิริมากลับนั่งทำหน้านิ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนร่วมห้องจำนวนห้าคน ขาประจำที่มาขู่ลอกการบ้านของเธอ
“ถ้าเธอไม่อยากมีเรื่องก็เอาให้พวกเขาไปซะสิ” คราวนี้เมริษาหรือมินนี่สาวสุดป็อปประจำโรงเรียนทำเป็นพูดจาดี แต่เเววตากลับกระด้างออกแนวบีบบังคับ สร้างภาพเป็นนางฟ้าในคราบนางมารร้ายชัดๆ
“พวกเธอก็รู้นี่ ว่าอาจารย์สั่งว่าไม่ให้พวกเธอลอกการบ้านฉัน” คิริมาเอ่ยเสียงเรียบๆ อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้หวาดกลัวแก๊งอันธพาลหลังห้องเลยสักนิด เพียงแต่เธอไม่อยากมีเรื่องให้ต้องถูกฝ่ายปกครองเรียกไปสอบสวน เพราะสุดท้ายคนที่ถูกลงโทษด้วยการหักคะแนนความประพฤติก็คือเธอ
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทุกครั้งที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นทางโรงเรียนจะเชิญผู้ปกครองมาพบ ซึ่งพ่อแม่ของทุกคนต่างก็มากันอย่างพร้อมหน้า ยกเว้นพ่อแม่ของเธอ และทุกครั้งพ่อแม่ของทุกคนก็จะพากันโจมตีคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเธอว่าใส่ร้ายลูกของพวกเขาบ้างล่ะ ว่าเธอหาเรื่องลูกพวกเขาบ้างล่ะ เพราะเธอไม่มีพ่อกับแม่มาปกป้องเหมือนอย่างใครเขา สุดท้ายความผิดก็มาตกที่เธออยู่ร่ำไป จนอาจารย์ฝ่ายปกครองคาดโทษว่าหากเกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีกเธอจะถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด ซึ่งนั่นมันไม่ยุติธรรมต่อเธอเลยสักนิด
“พวกฉันจะลอก…จะทำไม”
“ใช่…ในเมื่อถ้าอาจารย์จับได้จะทำโทษเธอ ไม่ใช่พวกฉันสักหน่อย”
วาจาแสนกระแทกใจทำให้คนฟังเม้มปากแน่นด้วยความคับข้องใจ นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้น ทว่ากลับต้องกำหมัดระงับอารมณ์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“นั่นดิ ฉะนั้นเอาสมุดมาซะดีๆ”
“ไม่!” คิริมายังคงยืนกรานคำเดิม ใจจริงอยากจะตะโกนใส่หน้าทุกคนว่าอย่ามายุ่งกับเธอ มีปัญญาก็ทำเองสิ หากแต่กลับทำได้เพียงเม้มปากนั่งนิ่ง
“ฉันบอกว่าเอามา!”
“เฮ้! พวกเธอไม่มีปัญญาหรือไงวะ ถึงได้มาข่มขู่ลอกการบ้านยัยนั่นอยู่ได้” น้ำเสียงกระด้างเจือดุดันที่โพล่งขึ้นทำให้ทุกคนต่างหันไปมองผู้มาใหม่
“พงษ์! พงษ์มาหามินนี่เหรอ” สาวป็อปประจำโรงเรียนร้องอุทานด้วยความยินดี แล้วรีบปรี่เข้าไปเกาะแขนของแฟนหนุ่มสุดหล่อด้วยสีหน้าระรื่น
“เปล่า” เขาตอบหน้าตาย ก่อนจะแกะมือของอีกฝ่ายออกจากแขนของตัวเอง ท่าทางเหินห่างทำให้เมริษาถึงกับหน้าเสีย แต่ยังทำเป็นเชิดเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกอะไร
“แล้วพงษ์มาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาแข่งบาส”
“งั้นที่อาจารย์บอกว่าจะมีการแข่งบาสเชื่อมสัมพันธ์ ก็แสดงว่าเป็นการแข่งบาสระหว่างโรงเรียนพงษ์กับโรงเรียนมินนี่น่ะสิ” เห็นท่าทางเย็นชาของแฟนเด็กที่อายุห่างกันหนึ่งปีเธอก็ชวนคุยอย่างกระตือรือร้น
“ใช่” พงษ์สวัสดิ์ตอบห้วนๆ เริ่มมีสีหน้าเบื่อหน่ายกับคำถามฟังดูไร้สาระ ปากขยับโต้ตอบกับเมริษา แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับลอบมองคิริมาเป็นระยะ
“อุ๊ย! งั้นมินนี่จะรอเชียร์นะ ป่ะพวกเราไปขึ้นสแตนด์กันเถอะ” เมริษาเอ่ยเอาใจแฟนหนุ่มของเธอ ก่อนจะหันไปชักชวนเพื่อนๆ โดยลืมเรื่องส่งการบ้านไปเสียสนิท
“เดี๋ยวก่อนมินนี่”
“พงษ์เปลี่ยนใจจะไปสนามบาสพร้อมมินนี่ใช่ไหมล่ะ” เจ้าของใบหน้าแต้มยิ้มหวานหยดรีบเดินกลับมาหาหนุ่มหล่อหน้าใส แล้วเอ่ยด้วยท่าทางระริกระรี้
“เปล่า…ฉันจะบอกเธอว่าเราจบกัน”
“พงษ์! ทำไมพงษ์พูดอย่างนั้น มินนี่ทำผิดอะไร” ถ้อยคำบอกเลิกง่ายๆ ต่อหน้าทุกคนทำให้สาวฮอตของโรงเรียนถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“เธอไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก แต่เธอโง่ และฉันก็ไม่ชอบผู้หญิงโง่…จบนะ!” เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ แต่แสนกระแทกใจ จนคนถูกบอกเลิกถึงกับวิ่งร้องไห้โฮจากไปด้วยความเสียใจปนอับอายที่ถูกด่าว่าโง่
เห็นดังนั้นคิริมาก็ลอบยิ้มตรงมุมปากด้วยความสะใจ ก่อนจะรีบทำหน้านิ่งเมื่อคนที่เพิ่งบอกเลิกสาวไปหมาดๆ ก้มลงมามองหน้าเธอ พอได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ สาวน้อยก็เบิกตาโพลง โลกกลมได้อย่างน่าเหลือเชื่อพอๆ กับน่าโมโห เพราะเด็กผู้ชายผิวขาวออร่า หน้าหล่อใสสไตล์โอปป้าเกาหลี จมูกโด่งเป็นสันปลายเชิดรั้น ริมฝีปากหยักลึก และนัยน์ตาตี่ทว่าร้ายๆ ที่กำลังยืนล้วงกระเป๋าเก๊กท่าหล่ออยู่ตรงหน้าคือคนเดียวกันกับที่ลอยหน้ากวนประสาทเธอไปเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่วันนี้ผมของเขาไม่เป็นสีเทาแล้ว กลับมาทำสีดำถูกระเบียบโรงเรียน พอมองชุดกีฬาที่อีกฝ่ายสวมอยู่ถึงได้รู้ว่าทำไมเขาถึงทำหัวสีเทาได้ ก็เพราะเขาเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ ที่ค่าเทอมแสนจะแพง แถมอาจารย์โคตรเทพ ซึ่งเพิ่งจะเปิดเทอมไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โรงเรียนเขาเปิดหลังโรงเรียนเธอหนึ่งสัปดาห์ และถ้าเดาไม่ผิดพ่อกับแม่ของอีกฝ่ายคงจะเป็นผู้มีอุปการะคุณรายใหญ่ของโรงเรียนนั้นแหงๆ
พอโดนจ้องเอาๆ คิริมาก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบชอบกล รีบเก็บสมุดและปากกายัดใส่กระเป๋า แล้วตั้งท่าจะลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อน หากว่าอีกฝ่ายไม่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ ไม่คิดจะขอบคุณกันสักคำเลยหรือไง”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
ท่าทางเย็นชาจนน่าโมโหทำให้พงษ์สวัสดิ์กลอกตาขึ้นฟ้า ก่อนจะสวนกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“คนเขาอุตส่าห์ช่วยจากเห็บหมาพวกนั้นยังไม่สำนึกอีก”
“ถึงนายไม่ช่วยฉันก็หาทางเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” สาวแว่นยักไหล่ทำหน้าตาย
ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้เขานึกหมั่นไส้ มุมปากหยักกระตุกยิ้มมาดร้าย ครั้นเธอตั้งท่าจะบิดข้อมือให้หลุดพ้นจากอุ้งมือ เขาก็จงใจบีบรัดให้แน่นเข้า แล้วกระชากแรงๆ จนร่างบางปลิวไปตามความยาวของม้านั่งเกือบปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งที่ยืนค้ำหัวเธออยู่ จากนั้นเขาก็ก้มลงเอ่ยเสียงเข้มๆ
“อวดดี!”
“ใช่ ฉันอวดดี พอใจหรือยัง ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อย”
“ไม่ไปขึ้นสแตนด์กับเขาหรือไง” แทนที่จะปล่อยเขากลับชวนคุยอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งการดึงมือของเธอไปแนบอกกว้างก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักรุนแรง ก่อนจะเค้นเสียงแข็งๆ โต้ตอบ
“ไป”
กล่าวจบคิริมาก็บิดข้อมือจนหลุด ลุกขึ้นจากม้าหินอ่อน แล้วก้าวเดินจากไป ทำให้คนที่ไม่เคยถูกเมินถึงกับอ้าปากค้าง แต่กระนั้นก็ยังกัดฟันเข่นเขี้ยวเดินตามหลังยัยแว่นหน้าจืด
“เฮ้!”
ครั้นทนไม่ไหวเขาก็ร้องเรียก แล้วคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อกีฬาของคนที่ก้าวอาดๆ โดยไม่สนว่าจะมีหนุ่มฮอตอย่างเขาเดินล้วงกระเป๋าตามมาท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ
พงษ์สวัสดิ์กระชากคอเสื้อจากทางด้านหลังจนอีกฝ่ายเซมาปะทะแผงอก ทำเอาคิริมาทำหน้าตื่น เงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องรีบหลับตาปี๋ เมื่อคนที่ตัวสูงกว่าก้มลงมาหา แล้วจงใจกระซิบ
“โรงยิมอยู่ทางนี้ต่างหากล่ะ” ขาดคำคนที่เคยมาแข่งบาสที่โรงเรียนนี้แล้วหนหนึ่งก็จัดการลากแขนเรียวติดมือไป โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะขืนกายต่อต้านแต่อย่างใด เห็นท่าไม่ดีคิริมาก็ร้องประท้วง
“ฉันจะไปส่งการบ้าน…ปล่อย!”
วินาทีถัดมาเขาก็ปล่อยมือจากแขนเธออย่างง่ายดาย ส่งผลให้คนถูกคุกคามถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าไม่นานกลับต้องเบิกตากว้าง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และยืนขาตายอยู่ตรงนั้น เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็เดินเข้าประชิดแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วเอ่ยเป็นเชิงสั่งด้วยท่าทางเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ
“ไปสิ…จะไปส่งการบ้านไม่ใช่เหรอ”