ความทรงจำสีหม่น (40%)
“อย่ามาสั่ง! ไอ้เด็กกวนประสาท!” คนที่ไม่เคยถูกสาวไหนตอกหน้าถึงกับอึ้งในถ้อยคำด่าทอที่อีกฝ่ายสาดใส่ เผลอปล่อยสายกระเป๋าเปิดโอกาสให้เธอไหวตัวถอยห่าง
“ก่อนจะมาสั่งอะไรคนอื่น ไปย้อมผมให้ถูกระเบียบโรงเรียนก่อนเถอะ” คิริมาเชิดหน้าเอ่ยตบท้ายด้วยถ้อยคำกระแทกใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินลิ่วจากไปแบบไม่เหลียวหลัง
“ยัยแว่นปากจัด! แน่จริงก็อย่าเดินหนีสิวะ!”
ครั้นได้สติพงษ์สวัสดิ์ก็ตะโกนไล่หลังไปหาเรื่อง ทว่านอกจากจะทำหูทวนลมแล้วอีกฝ่ายยังวิ่งหนีไปคล้ายรำคาญเสียเต็มประดา ทำเอาคนไม่เคยถูกขัดใจถึงกับคำรามลั่น
“ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
“นึกยังไงถึงไปแกล้งผู้หญิงเชยๆ แบบนั้น”
หนุ่มน้อยมาดนิ่งสุดเนี๊ยบอย่างคุณชายธีรเดชเอ่ยถามอย่างยิ้มๆ เพราะไม่เคยเห็นเพื่อนรักเป็นแบบนี้มาก่อน ซึ่งคิมหันต์และเผ่าก็เห็นด้วยไม่ต่างกัน
“นั่นดิ ยัยนั่นไม่ใช่สเปกมึงนี่หว่า”
“เอ๊ะ…หรือว่ามึงนึกคึกอยากจะตกสาวเชยขึ้นมา”
“เห็นหน้าเอ๋อๆ แต่อวดดีแล้วหมั่นไส้ เลยอยากแกล้ง…ก็แค่นั้น” คนกลายเป็นผู้ถูกไล่ต้อนไหวไหล่เล็กน้อย ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาสีหน้าเรียบสนิท
“แค่นั้นจริงๆ เหรอวะ” เผ่าเอ่ยถามเป็นเชิงย้ำด้วยสีหน้ากลั้นยิ้ม
“ก็เออสิวะ”
สามหนุ่มได้แต่มองหน้ากัน แล้วลอบอมยิ้ม เพราะรู้เท่าทันว่าภายใต้ถ้อยคำปฏิเสธหน้าตายนั้นมันอาจจะมีอะไรมากกว่าคำว่าหมั่นไส้ซุกซ่อนอยู่
วันนี้คิริมาตื่นสายกว่าปกติ เพราะอยู่ๆ ก็เกิดนอนไม่หลับในค่ำคืนที่ผ่านมา กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่ง หัวสมองน้อยๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเด็กผู้ชายหัวสีเทาคนนั้น เจอกันแค่เพียงครั้งแต่เธอกลับจดจำเขาได้อย่างติดตา ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหล่อใสสไตล์โอปป้า แววตาร้ายๆ และท่าทางกวนประสาทจนน่าหมั่นไส้
สาวน้อยผมสั้น นัยน์ตากลมโต ผิวขาวอมชมพู ใบหน้ากระจ่างใสสมวัยถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้แว่นตาหนาเตอะสุดเชย จนใครต่อใครต่างก็มองว่าเธอเฉิ่มเชย ร่างแน่งน้อยก้าวลงจากบันไดของคฤหาสน์หลังงามอย่างเชื่องช้า ด้วยเบื่อหน่ายกับบรรยากาศสุดอ้างว้างอย่างเช่นทุกเช้าที่ไร้เงาของบิดาและมารดา บ้านหลังใหญ่ดูเงียบเหงาแบบนี้มากว่าสองปีแล้ว หากแต่พอเดินมาถึงห้องครัวเท้าเรียวเล็กก็ถึงกับชะงักกึก ดวงตาหวานปนเศร้าพลันเปล่งประกายเจิดจ้าในวินาทีที่เหลือบไปเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงที่เธอรักและเทิดทูนที่สุดในโลก
“แม่ขา…อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เสียงใสๆ ร้องทักทายด้วยท่าทางเริงร่า ทำเอาคนที่กำลังง่วนกับการทำอาหารหันมาส่งรอยยิ้มหวานละมุนเจืออบอุ่นให้บุตรสาว
“มอร์นิ่งจ้ะสาวน้อย”
จากนั้นเจ้าของร่างสมส่วนในชุดทำงานหรูดูภูมิฐานซึ่งมีผ้ากันเปื้อนลายน่ารักๆ คาดอยู่ตรงเอวก็หันกลับไปทำอาหารต่อ ท่าทางคล่องแคล่วและดูมีความสุขของคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารทำให้คนที่แทบไม่มีช่วงเวลาใดๆ ร่วมกับแม่ในระยะหลังๆ มานี้ถึงกับยิ้มไม่หุบ หัวใจดวงน้อยอุ่นซ่านอย่างหามีใดเสมอเหมือน
“แม่ทำอะไรกินคะ หอมจังเลย” คิริมาเอ่ยถามอย่างยิ้มๆ ขณะเดินมาหามารดา หยุดยืนในลักษณะซ้อนหลัง แล้วชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังใช้ตะหลิวคนไปมาอยู่ในกระทะ
“โห…ข้าวผัดกุ้ง”
“ของโปรดหนูไงลูก”
คนที่ถึงจะอายุสี่สิบต้นๆ แต่ยังสวยไม่สร่างเอ่ยอย่างยิ้มๆ ขณะหยิบเครื่องปรุงมาปรุงรส เอื้อมมือไปหยิบช้อน แล้วตักแบบพอดีคำ เป่าจนแน่ใจว่ามันจะไม่ร้อน จากนั้นจึงนำมาจ่อปากจิ้มลิ้มของลูกสาว ซึ่งคิริมาก็อ้าปากรับเอาข้าวผัดกุ้งที่แม่ป้อนให้ชิมอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะทำตาพราวระยับด้วยความถูกอกถูกใจ ชูนิ้วโป้งให้มารดาแทนคำตอบว่าอร่อยมาก เรียกรอยยิ้มจากคนสละเวลามาทำอาหารเช้าได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณนะคะแม่”
“ขอบคุณเฉยๆ ก็พอ ไม่ต้องกอดแม่ เดี๋ยวเสื้อทำงานแม่ยับ”
วาจานุ่มนวลทว่าความหมายคล้ายเหินห่างทำให้คนฟังถึงกับชะงัก หน้าจืดเจื่อนลงถนัดตา วงแขนที่กำลังจะสอดร้อยรัดเอวของผู้เป็นมารดาลู่ลงที่ข้างลำตัว ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อเม้มเข้าหากันแน่น หยาดน้ำใสๆ คลอเคล้านัยน์ตา ก่อนที่ร่างบอบบางจะถอยกลับไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว
“เอ้า…รีบทานข้าว จะได้รีบไปโรงเรียน” หลังจากวางจานข้าวผัดกุ้งหอมฉุยลงตรงหน้าบุตรสาวนางครองขวัญก็เอ่ยบอกเบาๆ จากนั้นก็ก้มลงสำรวจความเรียบร้อยของชุดทำงานของตัวเอง ที่ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดขนาดนี้ก็เพราะว่าวันนี้เธอมีนัดสำคัญกับคู่ค้ารายใหญ่
“แล้วแม่ไม่ทานด้วยกันเหรอคะ” น้ำคำอ้อนๆ บวกกับสายตาเว้าวอนทำให้คนที่กำลังตั้งท่าจะเดินไปหยิบเสื้อสูทและกระเป๋าถึงกับหยุดชะงักเล็กน้อย
“หนูทานเถอะ…แม่รีบ” นางครองขวัญเอ่ยบอกลูกสาว ก่อนจะเดินกลับมาโอบร่างอ้อนแอ้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบศีรษะน้อย แล้วเอ่ยเบาๆ
“เป็นเด็กดีนะลูก”
“ค่ะแม่”
“ดีมากจ้ะ” นางครองขวัญยิ้มอ่อนโยน แล้วก้มลงหอมหน้าผากลูกสาวเบาๆ
“เอ่อ…แล้วพ่อล่ะคะ ครีมไม่เห็นพ่อมาหลายวันแล้ว” คิริมาอ้อมแอ้มด้วยความใคร่รู้ ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาแข็งกร้าวเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของอีกฝ่าย
“อย่าถามถึงไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้นให้แม่ได้ยินอีก” วาจาเฉียบขาดที่หลุดออกมาจากปากผู้เป็นแม่ทำให้สาวน้อยถึงกับน้ำตาซึมด้วยความเศร้าใจ เพราะรู้ดีว่าครอบครัวของเธอจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว พ่อเก็บของและย้ายออกไปอยู่กับเมียน้อยอย่างที่แม่ของเธอว่าจริงๆ
จากนั้นนางครองขวัญก็ผลุนผลันจะไปหยิบของ ทว่ายังก้าวขาไม่ถึงไหน เสียงของคนที่เพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ก็เอ่ยเป็นเชิงห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะแม่”
“มีอะไรก็ว่ามา วันนี้แม่รีบจริงๆ ลูก” หลังจากหันกลับมามองหน้าลูกสาว คนที่เอาแต่บ้าคลั่งกับการทำงานจนทิ้งลูกให้อ้างว้างอยู่ข้างหลังก็เอ่ยอย่างพยายามที่จะใจเย็น
“งานวันแม่ที่โรงเรียนปีนี้แม่จะไปไหมคะ” สาวน้อยเอ่ยเสียงติดจะสั่นสะท้าน ด้วยไม่เคยได้กราบแม่ในวันแม่ที่โรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นกับคำถามที่เอื้อนเอ่ยออกไป เพราะค่อนข้างคาดหวัง ตื่นเต้น และวิตกกังวลกับคำตอบที่จะได้รับฟังในวินาทีถัดมา
“ยังไม่แน่ใจเลยลูก เพราะช่วงนี้แม่ยุ่งๆ อยู่กับการโปรโมตผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของบริษัท แถมยังต้องเดินทางไปอเมริกาอีก ถ้าแม่ไปไม่ได้จะให้ป้าแววไปแทนแล้วกันนะลูก”
ท่านประธานของบริษัทออกแบบตกแต่งภายในยักษ์ใหญ่เอ่ยบอกเร็วๆ ขณะเดินไปหยิบกระเป๋าและเสื้อสูทซึ่งวางอยู่ตรงเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไป
“แต่แม่คะ…”
“แม่ไปล่ะ แม่รีบ”
“หนูแค่อยากจะบอกแม่ว่า หนูไม่ต้องการใคร…นอกจากแม่” คล้อยหลังมารดาสาวน้อยก็เอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น ก่อนที่น้ำตาจะหยดแหมะลงกระทบจานข้าว