เหล้าเป็นเหตุ (100%)
“อย่าเข้าใจผิด กูเปล่าช่วยมึง ก็แค่หมั่นไส้ไอ้กร๊วกนั่นก็เลยสั่งสอนมันนิดหน่อย” พ่อคนฟอร์มจัดไหวไหล่พร้อมเอ่ยหน้าตาย
“แต่ยังไงกูก็ต้องขอบใจที่มึงยอมรับกูเป็นเพื่อน”
“เฮ้ย! ได้ไง อย่ามาลักไก่ กูยังไม่รับมึงเป็นเพื่อนโว้ย เรายังดวลเหล้ากันไม่จบเสียหน่อย เมื่อกี้กูก็แค่พูดส่งๆ ไปอย่างนั้นแหละ” ปรเมศเอ่ยแย้งเสียงเข้ม
วาจาที่หลุดออกมาจากปากหยักทำให้คนที่หลงดีใจทำหน้าเจื่อน แทนไทเห็นท่าทีผิดหวังของธารธาราก็นึกสงสารจึงตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะเอ่ยแซวเพื่อนซี้ตัวแสบด้วยความหมั่นไส้
“เฮ้ย! ไอ้เมศปากหมาคนเดิมกลับมาแล้วเหรอวะ แสดงว่าเมื่อกี้ก็แค่ร่างอวตารงั้นสิ”
“นั่นดิ ไอ้กูก็นึกว่ามึงจะทำตัวเป็นฮีโร่ปกป้องเพื่อนอย่างไอ้น้ำ แต่ที่ไหนได้ยังปากแข็งไม่ยอมรับมันเป็นเพื่อนซะงั้น” ภูธฤทธิ์ร่วมผสมโรงอย่างยิ้มๆ
“เรื่องอะไรกูจะรับมันเป็นเพื่อนง่ายๆ มันกับกูยังดวลเหล้ากันไม่รู้ผลแพ้ชนะซะหน่อย”
“เออ…งั้นพวกมึงสองคนก็รีบแดกๆ เข้าไป พวกกูง่วงจะตายชัก” คนที่นั่งเงียบมาตลอดอย่างดนัยโพล่งขึ้นพร้อมกับหาวจนน้ำตาเล็ด สภาพอ่อนเพลียไม่ต่างจากแทนไทและภูธฤทธิ์ เพราะเมื่อคืนนี้ทั้งสามคุณหมอมีเคสผ่าตัดร่วมกัน กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน แถมวันนี้ยังต้องตื่นมาเข้าเวรแต่เช้าอีก
จากนั้นปรเมศและธารธาราก็ผลัดกันยกแก้วเหล้าสาดลงคอ ตอนแรกดูกระตือรือร้น แต่พอผ่านไปนานเข้าทั้งคู่ต่างออกอาการเนือยๆ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้สมองสั่งการช้าลง และลิ้นชักจะพันกัน แต่ที่ทำให้สามคุณหมอหนุ่มซึ่งนั่งจิบเหล้าเป็นกรรมการต่างอมยิ้มด้วยความพอใจคือทั้งคู่ดูพูดกันถูกคอ ชนแก้วกันไปคุยกันไป บ้างมีเสียงหัวเราะคิกคักผสานเสียงห้าวกระด้าง ทว่าโคตรชวนฟัง
“รู้สึกว่าพอเหล้าเข้าปากพวกมึงจะดูปรองดองกันพิลึก” แทนไทเอ่ยแซวอย่างอารมณ์ดี
“ปรองดองบ้านมึงดิ แหกตาดูซะบ้าง พวกกูแค่ดวลเหล้ากันโว้ย” พ่อคนปากแข็งที่ยังพอมีสติอยู่เอ่ยแย้ง ทำเอาคนฟังส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ขนาดมันเมาจนลิ้นพันกันมันยังไม่วายมาทำปากดีฟอร์มจัดอีก
จากนั้นสามหนุ่มก็กลั้นขำเอาไว้แทบไม่อยู่ เมื่อปรเมศชวนธารธาราคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ซึ่งไม่ว่าเขาจะเอ่ยเรื่องไหนก็ดูเหมือนเธอจะรู้ไปเสียหมด
ซัดเหล้าเข้าปากได้อีกไม่กี่แก้วธารธาราก็เอ่ยเสียงอ้อแอ้ว่าขอพักยก ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างหมดสภาพ ส่วนปรเมศนั้นเอนหลังพิงพนักโซฟา แล้วนั่งหลับตานิ่งๆ เป็นที่รู้กันว่าท่าทางแบบนี้เมาชัวร์
“เฮ้ย! ไอ้เมศ มึงไหวป่ะเนี่ย” ภูธฤทธิ์เอ่ยถาม
“หวาย…” เสียงยานคางของไอ้คนปากแข็งทำให้คนฟังส่ายหน้าเบาๆ ปกติถ้าสภาพเมาค่อนข้างหนักแบบนี้หนึ่งในสามจะต้องไปส่งที่คอนโด แต่ด้วยคืนนี้ทั้งสามคุณหมอต่างเพลียพอกันจึงไม่อาจไปส่งได้
ก่อนที่ภูธฤทธิ์จะหันไปมองคนที่เมาหนักแบบไม่รู้เรื่องยิ่งกว่าเพื่อนซี้ของเขาด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็ถามย้ำปรเมศอีกหน
“แน่ใจนะว่ามึงไหว”
“กูบอกว่าไหวก็ไหวสิวะ” หลังจากสะบัดศีรษะแรงๆ ปรเมศก็เอ่ยตอบโต้อย่างขึงขัง พยายามจะครองสติตัวเองไม่ให้มีสภาพเมาจนน่าทุเรศอย่างสุดความสามารถ
“งั้นพวกกูฝากมึงเอาไอ้น้ำกลับด้วยนะ”
“พวกมึงจะรีบกลับไปไหน กูสองคนยังดวลเหล้ากันไม่จบเลย”
“เออ…มึงสองคนก็แดกๆ กันไปเถอะ พรุงนี้ค่อยไปเล่าให้พวกกูฟังก็ได้ว่าใครชนะ แล้วก็อย่าลืมไปส่งไอ้น้ำด้วยล่ะ” ท้ายประโยคภูธฤทธิ์ไม่ลืมที่จะเอ่ยกำชับ
“ทำไมต้องให้มันกลับกับกูด้วยวะ กูเอาบิ๊กไบค์มานะโว้ย” ปรเมศเอ่ยท้วงเสียงดังพร้อมทำหน้ายุ่ง ทำเอาคนฟังกลอกตาขึ้นฟ้าแล้วกระแทกเสียงใส่ไอ้คนเรื่องมาก
“มึงก็ให้มันซ้อนท้าย แค่นั้นจบ”
“ไม่!” การปฏิเสธอย่างสิ้นเยื่อขาดใยทำให้คนที่ฟุบอยู่กับโต๊ะถึงกับเม้มปากแน่น อยากจะลุกขึ้นมาแล้วตะโกนใส่หน้าไอ้คนใจร้ายนักว่ากูกลับเองก็ได้ แต่มิอาจทำอย่างใจปรารถนาเพราะมึนหัวสุดๆ
“งั้นพวกมึงก็ตกลงกันเอาเองว่าจะกลับยังไง พวกกูสามคนง่วงจะตายจะห่าอยู่แล้ว…ไปล่ะ” ภูธฤทธิ์ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป โดยมีแทนไทกับดนัยก้าวตามหลังไปติดๆ