บทนำ
ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่ไปมาทั่วทั้งสนามบิน บางคนมาส่งคนที่รักบางคนมารอรับคนที่รักกลับบ้าน
เช่นเดียวกับหญิงสาวร่างโปร่งบาง ที่เดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ฝ่าฝูงชนออกมาจากช่องผู้โดยสารขาเข้า ใบหน้าสวยรูปไข่แต่งเติมเครื่องสำอางบางเบาแต่ก็ยังดูสวยสะดุดตา จนคนที่เดินผ่านไปมาอดที่จะมองตามไม่ได้
ขาเรียวยาวหยุดเดินพร้อมกับมองไปรอบๆ ก่อนจะยกข้อมือที่มีนาฬิกาเรือนหรูขึ้นดูเวลา เพราะตอนนี้มันเลยเวลานัดมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วนั่นเอง
“ทำไมยังไม่มาอีกนะ” ร่างบางบ่นกับตัวเองออกมาเบาๆ หันซ้ายแลขวามองไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อหาคนที่นัดไว้
“ยัยเนตร... อยู่นี่” เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้หญิงสาวหันไปตามเสียงนั้น ใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ รีบก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนยิ้มโบกไม้โบกมือทันที
ร่างสองร่างโผลกอดกันกลมด้วยความคิดถึง นานแล้วที่ทั้งสองคนไม่ได้เจอกัน นานแล้วที่เธอไม่ได้สัมผัสอ้อมกอดอบอุ่นแบบนี้ เมื่อกอดจนพอใจแล้วหญิงสาวจึงผละออกจากอ้อมกอด และยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้า
“สวัสดีค่ะเฮีย คิดถึ้งคิดถึง... ทำไมมาช้าจังเลยคะ เนตรรอตั้งนานนึกว่าเฮียจะเบี้ยวไม่มารับเนตรแล้วซะอีก” เนตรหรือเนตรทราย แสร้งทำหน้างอบ่นชายหนุ่มที่เธอเรียกว่าเฮียอย่างไม่จริงจัง
เฮียที่เนตรทรายเรียกชื่อจริงๆ คือวาคินเป็นพี่ชายบุญธรรมของเธอ วาคินเป็นผู้ชายอบอุ่น น่ารัก คอยดูแลเอาใจใส่เธอเสมอๆ และยังเป็นที่ปรึกษาชั้นเยี่ยมให้เธอในทุกๆ เรื่อง จึงทำให้เธอและวาคินสนิทสนมรักกันเหมือนเป็นพี่น้องกันจริงๆ
“ทำไมขี้บ่นจัง ยังไม่แก่สักหน่อย” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นมายีผมน้องสาวเล่นเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“เฮียอ่ะ พอเลยผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย... ยังไม่ตอบเนตรเลยนะคะว่าทำไมถึงมารับเนตรช้าจัง... เอ๊ะ! หรือว่าแอบไปคุยกับสาวๆ อยู่” ยิ้มกรุ้มกริ่มเคียงคอมองหน้าพี่ชายอย่างจับพิรุธ
“จะมีเวลาที่ไหนไปคุยกับสาวๆ ไม่ทราบครับคุณเนตรทราย คุณมณีเล่นให้ทำแต่งานทั้งวัน และที่มาช้าเนี่ยก็เพราะว่าประชุมอยู่ พอประชุมเสร็จก็รีบมารับเราเลยเนี่ย” คำอธิบายของวาคิน ทำให้เนตรทรายยิ้มแก้มปริ รู้อยู่แล้ว ว่าพี่ชายของเธอไม่มีเวลาไปคุยสาวที่ไหนอย่างที่เธอว่าหรอก เธอก็แค่แหย่เล่นเท่านั้นเอง
“นี่คุณแม่ใช้งานเฮียหนักขนาดนี้เลยเหรอคะเนี่ย ถึงว่าล่ะทำไมเฮียคิวสุดหล่อของเนตรถึงไม่มีแฟนกับเขาสักที... เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเนตรช่วยหาให้แล้วกันเฮียจะได้ไม่เหงา”
“พอเลยเรา พูดอะไรไร้สาระบ้าบอ อยู่เป็นโสดหล่อๆ ให้สาวๆ กรี๊ดเล่นแบบนี้ดีแล้ว” พูดออกมาอย่างภูมิใจ
“จ้า เฮียของเนตรหล่อสุดๆ ไปเลยค่ะ... แล้วนี่พี่คิมไปไหนคะไม่ได้มาด้วยเหรอ” เนตรทรายพูดพร้อมกับชะง้อคอมองหาคนที่ตัวเองพูดถึงหวังเล็กๆ ว่าเขาอาจจะมารับเธอ แต่ความฝันก็พังทลายเมื่อได้ยินคำตอบจากวาคิน
“ไม่ได้มา” วาคินตอบกลับสั้นๆ พลางสังเกตอาการคนตรงหน้า ดวงตากลมโตสั่นไหวเล็กน้อยอย่างผิดหวัง ก่อนเจ้าตัวจะแกล้งยิ้มกลบเกลื่อนออกมา
“คิดเอาไว้แล้วว่าต้องไม่มา คนอะไรใจร้ายชะมัด น้องกลับมาทั้งทีก็ไม่ยอมมารับ”
“เอาน่า เดี๋ยวกลับบ้านไปก็เจอเองแหละ เนตรก็รู้ว่าพี่คิมงานยุ่งจะตาย...ไปกลับบ้าน ป่านนี้คุณแม่รอแล้ว”
“แก้ตัวแทนกันเก่งจริงๆ เลยนะคะพี่น้องคู่นี้” พูดประชดออกมาอย่างหมั่นไส้พี่ชายตัวเอง ก่อนจะเดินควงแขนวาคินออกไปจากสนามบิน พร้อมกับเสียงพูดคุยและหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะตลอดทางจนมาถึงบ้าน
รถหรูสีดำมันวาวขับเข้ามาจอดสนิทในบ้านหลังใหญ่นั้นก็คือบ้านรัตนะรัตน์ บ้านที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น
บ้านที่ทำให้ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เหลือเพียงตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ได้มาอาศัยพักพิง
บ้านที่ทำให้หัวใจที่บอบช้ำห่อเหี่ยวหมดหวังกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
เนตรทรายเปิดประตูลงมาจากรถ กวาดสายตามองไปรอบบ้านด้วยความคิดถึง เธอจากที่นี่ไป 5 ปีเต็มๆ เพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ ตามความประสงค์ของนางมณี หรือคนที่เธอเรียกว่าแม่
แต่ทุกอย่างที่บ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน โดยเฉพาะสวนดอกกุหลาบของเธอที่เธอปลูกเอาไว้ก่อนจะไปเรียนต่อ ตอนนี้สวนดอกกุกลาบยังคงอยู่ และยังมีดอกกุหลาบหลากหลายสีปลูกแซมเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกด้วย
“เข้าบ้านกันเถอะเนตร คุณแม่รออยู่” วาคินเอ่ยชวนเนตรทราย ที่เอาแต่ยืนนิ่งมองไปรอบบ้านอยู่อย่างนั้น เนตรทรายพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามวาคินเข้าไปในบ้าน
เมื่อมาถึงห้องรับแขก หญิงสาวก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดหญิงสูงวัย ที่หน้าตายังสะสวยดูดีกว่าอายุนั่งรออยู่ในนั้น
“สวัสดีค่ะคุณแม่...เนตรคิดถึงคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ” ไม่พูดเปล่ายังหอมแก้มผู้เป็นแม่หลายต่อหลายฟอดเพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าเธอพูดจริงๆ และแถมด้วยอ้อมกอดแน่นๆ ไปอีกครั้งที
เช่นเดียวกับนางมณี ก็กอดตอบลูกสาวด้วยความคิดถึงมือ ที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลายกขึ้นมาลูบหัวลูกสาวด้วยความรักใคร่
“แม่ก็คิดถึงเราเหมือนกันเป็นยังไงบ้างลูกสบายดีมั้ย เดินทางเหนื่อยรึเปล่า”
“แค่เห็นหน้าคุณแม่ เนตรก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ”
“จริงๆ เลยลูกคนนี้ ปากหวานขี้อ้อนเหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิด” นางมณีพูดไปยิ้มไปกับความช่างประจบประแจง พูดให้คนแก่มีความสุขของลูกสาว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเนตรทรายก็ยังเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ สำหรับนางอยู่ดี
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ในวันที่ฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตา อย่างกับฟ้าถล่มมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนเวลาล่วงเลยมาครึ่งคืน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงสักทีจู่ๆ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องนอน ปลุกนางมณีที่กำลังหลับสบายให้รู้สึกตัวเอื้อมมือกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
“ใช่ค่ะ”
“อะไรนะคะ!! ได้ค่ะเดี๋ยวดิฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” นางมณีตอบรับปลายสายด้วยความตกใจและร้อนรนหลังจากทราบข่าวจากปลายสายที่โทรมา ก่อนจะรีบลุกจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกจากบ้านไปในทันที
นางมณีกึ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยความร้อนใจเข้ามาในโรงพยาบาล หลังจากทราบข่าวจากโรงพยาบาลโทรไปแจ้ง ว่าเพื่อนรักของนางประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตทั่งคู่
มีเพียงหนึ่งชีวิตเท่านั้นที่รอดก็คือลูกสาวของเพื่อนนาง ที่ตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นนั่งตัวสั่นด้วยความกลัวและความเหน็บหนาว เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกชื้นไปด้วยน้ำ และคราบเลือดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
ใบหน้าของเด็กหญิงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เสียงสะอื้นปานจะขาดใจดังขึ้นมาอย่างน่าสงสาร เห็นแบบนี้นางมณีก็อดที่จะสงสาร และเวทนาในความโชคร้ายของเด็กหญิงไม่ได้ จึงดึงร่างเล็กที่สั่นเทาเข้ามากอดปลอบไว้
สัมผัสจากอ้อมกอดอบอุ่นที่ได้รับทำ ให้เด็กหญิงร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น มือเล็กโอบกอดนางมณีไว้แน่น ราวกับนางมณีคือที่ยึดเหนี่ยวเดียวในเวลานี้ที่เหลืออยู่
“ไม่เป็นไรนะลูกนะ ไม่ต้องร้องนะคะคนเก่ง ป้าอยู่ตรงนี้แล้วนะ ป้าอยู่ข้างๆ หนูตรงนี้แล้วนะลูก”
“คุณป้าขา...อึก... ป๊ากับม๊า... อึก... ทิ้งหนูไปแล้วค่ะ ฮือๆ” เสียงสั่นเครือปนสะอื้นตอบกลับแทบจะฟังไม่รู้ความ
“ป๊ากับม้าท่านไปสบายแล้วนะ... ไม่เป็นไรนะลูกไม่ต้องกลัวนะ หนูยังมีป้าอยู่ทั้งคน ป้าไม่มีวันปล่อยหนูให้อยู่คนเดียวแน่นอน” ไม่มีเสียงใดเอ่ยตอบกลับมา จากคนที่อยู่ในอ้อมกอดอีก มีเพียงวงแขนเล็กที่กอดกระชับนางมณีแน่นขึ้นจากเดิม พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยังคงดังอยู่ไม่ขาดสายของเด็กหญิง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวรหรือกรรมอันใด ที่ทำให้เด็กผู้หญิงอายุเพียงแค่13 ปี ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวเลวร้าย ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่อันเป็นที่พึ่งในเวลาเดียวกันกะทันหันแบบนี้