บทที่ 3 ศาลาอาถรรพ์ 2
“นะ นี่! เจ้าทำอันใด?” หลานเหวินเอ่ยแล้วประคองบุตรชายขึ้นจากพื้น
“อย่าได้โทษตัวเองเลย น้องสาวเจ้าซุกซนแค่ไหนไยพ่อจะไม่รู้ ครั้งนี้ไม่โทษเจ้า อีกอย่าง นางแค่หมดสติ พ่อคิดว่านางคงไม่เป็นอันใดมาก รอให้ท่านหมอมาตรวจก็น่าจะเบาใจได้ เจ้าอย่าได้คิดมากเลย” หลานเหวินปลอบใจบุตรชายคนโตและปลอบใจตนเองไปพร้อมๆ กัน
จากนั้นไม่นานเถาลี่อิงผู้เป็นมารดาก็เดินเข้ามาในห้องของบุตรสาว สตรีวัยสามสิบสองพุ่งกายเข้าไปดูบุตรสาวคนเดียวด้วยความเป็นห่วง
“ลูกขอโทษขอรับท่านแม่” หลานจิ้นหลี่เอ่ยกับผู้เป็นมารดา
“ลูกแม่ ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเป็นบทเรียนให้เจ้า ต่อไปก็ให้เจ้ารู้เอาไว้ว่า วาจาของคนนั้นเชื่อถือไม่ได้ น้องสาวยังเด็กก็จริง แต่นางกลับมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อยู่จวนก็หลอกล่อเอาของกินกับสาวใช้อยู่เป็นประจำ พี่ชายที่แสนดีของนางเยี่ยงเจ้าจะตามทันลูกไม้นางได้อย่างไร” เถาลี่อิงเอ่ยปลอบใจบุตรชายคนโต
“เอาเถอะ อย่าคิดมากเลย แม่ว่าบางทีหลีเอ๋อร์อาจจะหมดสติไปเพียงเพราะสำลักฝุ่นเท่านั้น อย่าเพิ่งคิดมากกันเลย” คนเป็นมารดาเอ่ยออกมาอย่างคนมองโลกในแง่ดี ทั้งที่ในใจนางก็เป็นห่วงหลานหลีเกอไม่แพ้ความรู้สึกของหลานจิ้นหลี่
ทว่าจะให้นางทำอย่างไรได้ จะให้ดุด่าว่ากล่าวบุตรชายคนโตที่ดูแลน้องสาวไม่ดีก็ใช่ที่ ด้วยเพราะหลานหลีเกอนั้นก็ซุกซนจนเกินกว่าเหตุจริง นางขัดขืนคำสั่งของพี่ชายจนสุดท้ายตนเองต้องได้รับบาดเจ็บ
เด็กคนนี้ซุกซนเกินไปแล้วจริงๆ
เมื่อท่านหมอมาถึงก็ถูกเชิญให้ไปตรวจดูอาการของหลานหลีเกอทันที หมอชราจับชีพจรเด็กน้อยดูแล้วก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ทางร่างกาย คล้ายกับว่าเวลานี้นางนอนหลับไปเฉยๆ เพียงเท่านั้น
“บางทีคุณหนูน้อยอาจจะพบเจออะไรบางอย่างที่ทำให้ตกใจจนเป็นลมไปก็เป็นได้ และถ้าหากเป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์ อีกวันสองวันนางก็น่าจะฟื้นคืนสติ ท่านทั้งสองอย่าได้วิตกกังวลเกินไป พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอาการของนางใหม่อีกรอบ”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วทุกคนก็มีสีหน้าดีขึ้น แม้จะยังวางใจไม่ได้ แต่ความกังวลก็คลายลงได้แล้วหนึ่งส่วน
คืนนั้นหลานจิ้นหลี่อาสานอนเฝ้าน้องสาวร่วมกับแม่นมเถา ปล่อยให้มารดากลับไปดูแลน้องชายวัยสามขวบตามปกติ
“พี่รองไม่สบายหรือขอรับพี่ใหญ่” คนที่ควรจะนอนอยู่ในห้องกับบิดามารดาโผล่หน้าเข้ามาถามคนเป็นพี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงของหลานหลีเกอ
“ดึกแล้ว ไยเจี่ยเอ๋อร์ของพี่จึงไม่นอน”
หลานจิ้นหลี่กวักมือเรียกน้องชายเข้ามาหา ก่อนจะรับเอาร่างเล็กของอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด
ปกติแล้วหลานหลีเกอกับหลานเจี่ยเอ๋อร์จะอยู่ด้วยกันแทบทุกวัน แต่ก็จะมีบางเวลาที่บิดาเรียกให้หลานหลีเกอไปเรียนหนังสือ น้องชายตัวน้อยจึงไม่ได้อยู่กับพี่สาว
และด้วยระยะหลังมานี้ท่านแม่ของพวกเขาหันมาใส่ใจกับเรื่องของหลานหลีเกอมากขึ้น อย่างเช่นเรื่องการคุมอาหาร หลานเจี่ยเอ๋อร์ก็จะอยู่กับแม่นมเถาเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะเจ้าก้อนแป้งก้อนน้อยนี่ยังต้องดื่มนมและนอนกลางวัน
“วันนี้เจี่ยเอ๋อร์ยังไม่เจอหน้าพี่รองเลยขอรับ” หลานเจี่ยเอ๋อร์พูดไปตามความจริง วันนี้เขายังไม่ได้เห็นหน้าพี่สาวของเขาเลยสักครั้ง
“พี่รองของเจ้านอนหลับแล้ว ดูสิ”
คนเป็นน้องชะโงกหน้าไปมอง “แต่ท่านแม่บอกว่าพี่รองไม่สบาย แล้วท่านพ่อก็บอกว่าพี่รองเป็นไข้”
“อืม...พี่รองของเจ้าไม่สบาย เจ้าอย่าได้เข้าใกล้นางเชียว มิเช่นนั้นจะติดไข้จากนางได้ แล้วเมื่อเป็นไข้เจ้าก็จะไม่ได้กินขนม”
ก้อนแป้งน้อยวัยสามหนาวฟังแล้วถึงกับผงะ เขาเป็นห่วงพี่สาวของตนเองก็จริง แต่เขาไม่อยากเป็นไข้ และยิ่งไม่อยากถูกงดขนมหรือของหวานด้วย
“เช่นนั้นพี่ใหญ่ต้องดูแลพี่รองให้ดีนะขอรับ ให้พี่รองหายไข้ไวๆ เจี่ยเอ๋อร์จะได้เล่นกับพี่รอง” เจ้าตัวน้อยว่าแล้ววิ่งหายออกไปด้วยความกลัวว่าตนเองจะติดไข้จากพี่สาว
หลานจิ้นหลี่มองตามน้องชายแล้วยิ้มขำ เจ้าหัวผักกาดนั่นรู้จักกลัวและช่างเอาตัวรอดเป็นยิ่งนัก ผิดกับน้องสาวตัวกลมที่นอนอยู่บนเตียง
หลานหลีเกอช่างเป็นเด็กน้อยที่มีนิสัยแปลกประหลาดยิ่งนัก ทุกวันนางจะทำตัวเกียจคร้านและไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ความ ทว่ากลับมีความกล้าและอยากรู้อยากเห็นเป็นที่หนึ่ง
“หลีเอ๋อร์...พี่รู้ว่าเจ้าต้องเห็นอะไรบางอย่างในนั้น ศาลาเหลียนฮวามีบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่ และที่เจ้าหมดสติไปเช่นนี้ก็เพราะเจ้ามองเห็นสิ่งสิ่งนั้นใช่หรือไม่?” หลานจิ้นหลี่เอ่ยพร้อมกับลูบหัวน้องสาวเบาๆ
เด็กหนุ่มรู้ว่าภายในศาลาเหลียนฮวาแห่งนั้นมีบางสิ่งบางอย่างอาศัยอยู่ และสาเหตุที่เขาพาน้องสาวไปยังที่แห่งนั้นในตอนแรกก็เพื่อว่าต้องการที่จะพิสูจน์ ว่าหลานหลีเกอจะพบเจอหรือรู้สึกถึงความผิดปกตินั้นเช่นเดียวกันกับเขาหรือไม่
แต่พอมาคิดได้ทีหลังว่าสิ่งๆ นั่นอาจจะเป็นอันตรายกับน้องสาว หลานจิ้นหลี่จึงเปลี่ยนใจไม่พานางเข้าไปยังด้านในของศาลา
แต่เด็กหนุ่มกลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลานหลีเกอจะแอบกลับไปยังศาลาแห่งนั้น
“น้องพี่...ถ้าเจ้าเป็นเด็กรู้จักกลัวมากกว่านี้ก็คงจะดี”
เพราะถ้าหลานหลีเกอรู้จักความกลัว แน่นอนว่านางจะต้องไม่แอบกลับไปยังศาลาเหลียนฮวานั่น แล้วนางก็จะไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้...
“หลีเอ๋อร์พี่ขอโทษ”
ผ่านไปสองวันหลานหลีเกอก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา หลานเหวินกับเถาลี่อิงเริ่มรู้สึกร้อนใจกับอาการป่วยของบุตรสาว
เช่นเดียวกันกับหลานจิ้นหลี่ เด็กหนุ่มไม่มีจิตใจและสมาธิทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเลย ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วแท้ๆ
เด็กหนุ่มนำตำรามานั่งอ่านข้างๆ น้องสาวที่นอนหลับ และแม้ว่าจะทำอย่างนั้นหลานจิ้นหลี่ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น ด้วยเพราะลึกๆ แล้วในใจเด็กหนุ่มเฝ้าโทษตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นสาเหตุให้น้องสาวต้องเป็นแบบนี้
กระทั่งเย็นวันที่สาม หลานหลีเกอจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาในที่สุด...
ท่านหมอถูกเชิญตัวมาอย่างเร่งด่วน หลานหลีเกอมองภาพความวุ่นวายตรงหน้าด้วยความสับสน มองห่อยาบำรุงด้วยสายตามีคำถาม มองสองมือเล็กของตัวเองด้วยความมึนงง
มันเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่....
ภาพในหัวที่นางเห็น กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า สองสิ่งสองอย่างนี้ สิ่งใดเป็นความจริงกันแน่
...ตระกูลหลาน นางคือหลานหลีเกอ
แล้วตระกูลฮัวเล่า?
ตระกูลฮัวของนางอยู่ที่ใด?
ฮัวจื่อเวย...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่!