บทที่ 2 สำนักศึกษาคงเสวีย 3
“นกยูงเกียจคร้านรำแพน กระทำแทนโดยการสะบัด ปีกขนร่วงหล่นตามแรงลมพัด สุดท้ายกลายเป็นไก่ป่า” เด็กหญิงเอ่ยใจความบทหนึ่งในตำราเล่มนั้นออกมา
ตำรานกยูงสะบัดขนเล่มนี้เป็นตำราสอนสตรี เนื้อหาในตำราเปรียบเทียบสตรีเป็นดั่งนกยูงที่มีขนสวยงาม ทว่าสิ่งที่นกยูงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นได้ กลับเป็นเวลาที่นกยูงรำแพน อวดความงามของขนหาง รวมไปถึงท่าทางหยิ่งผยองราวกับว่าตนเองเป็นหงส์ของมันต่างหาก
เช่นเดียวกันกับอิสตรี ที่ส่วนใหญ่ล้วนมีความงดงามในแบบของตน ทว่าความงามของสตรีนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ แต่กลับเป็นความสามารถที่มีต่างหาก ที่จะทำให้สมหวังในสิ่งที่ตนเองปรารถนาได้อย่างราบรื่น
คนงามไร้ความสามารถนับว่าไร้ประโยชน์ คนมีความสามารถอีกทั้งยังงดงามนับว่าเป็นโชควาสนา และสิ่งที่ผู้เป็นพี่ชายต้องการจะสื่อให้นางได้รู้คือ คนมีความสามารถเท่านั้นที่จะเอาตัวรอด และสมหวังในสิ่งที่ต้องการได้
หลานหลีเกออยากบอกพี่ชายออกไปเหลือเกินว่านางนั้นรู้อยู่แล้ว ตำราเล่มนี้นางเคยอ่านไปหลายรอบจนท่องจำได้ขึ้นใจ ในตำราหน้าสุดท้ายบรรทัดสุดท้ายเขียนว่าอะไรนางยังจำได้เลย!
อ่า...ภาพจำพวกนั้นผุดขึ้นมาอีกแล้ว
เด็กน้อยสะบัดหน้าไปมาสองสามครั้งเพื่อไล่ภาพต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในหัวให้หลุดพ้นออกไป แต่ดูท่าว่าครั้งนี้จะไม่เป็นผล เมื่อในหัวน้อยๆ ของนางยังมีภาพจำพวกนั้นอยู่เลย...
ในภาพจำดังกล่าว หลานหลีเกอมองเห็นสตรีในชุดสีขาวนางหนึ่งกำลังนั่งอ่านตำรานกยูงสะบัดขน มือเรียวของนางพลิกอ่านตำราเล่มนั้นทีละหน้าด้วยความใจเย็นและตั้งใจอย่างที่สุด
“ไม่...หยุดนะ!” เด็กน้อยหลุดปากอุทาน เมื่อภาพจำที่เห็นมีเค้าว่าจะไม่หยุดลงและเลือนหายไปเหมือนดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
“หลีเอ๋อร์ เจอตำราหรือไม่” หลานจิ้นหลี่เอ่ยถามน้องสาว
เพราะเขากลัวว่าน้องสาวตัวน้อยจะแอบหลับ จึงได้เดินตามมาดูด้วยความเป็นห่วง ทว่าสิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นภาพที่น้องสาวกำลังยืนสะบัดหน้าอยู่
“หลีเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือ บอกให้พี่ฟัง” หลานจิ้นหลี่เอ่ยถามน้องสาวพร้อมกับย่อกายลงข้างๆ นาง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หลีเกอแค่ง่วงนอนเท่านั้น”
คนเป็นพี่ชายยกยิ้ม “แม่ดอกหลีน้อยของพี่ เช่นนั้นเราไปเดินเล่นกันก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยมาอ่านตำราทีหลัง”
หลานหลีเกอพยักหน้ารับถี่ๆ ก่อนจะจัดการเก็บตำรานกยูงสะบัดหางไว้ที่เดิม แล้วเกาะแขนพี่ชายเดินออกจากหอตำราไป โดยไม่หันกลับมามองหอตำราอีกเลย
คอยดูเถิด...นางจะหาทางไม่ให้พี่ใหญ่พานางมาที่นี่อีก!
หลานหลีเกอมาดหมายในใจ เพราะเด็กหญิงตัวน้อยคิดดูแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นหอตำราหรือที่ใดที่หนึ่งในสำนักศึกษา ทุกย่างก้าวสามารถกระตุ้นภาพจำนั้นขึ้นมาได้ทั้งหมด
สองพี่น้องจูงมือกันเดินออกมาจากหอตำรา ก่อนที่ผู้เป็นพี่ชายจะพาน้องน้อยเดินดูสถานที่ต่างๆ ของสำนึกศึกษาแห่งนี้
“หลีเอ๋อร์ ศาลาเหลียนฮวาตรงหน้านั่น เป็นสถานที่ที่เก่าแก่ที่สุดในสำนักศึกษา ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยท่านปู่ทวดสร้างสำนักศึกษานี้ใหม่ๆ และยังไม่เคยได้รับการซ่อมแซมเลยสักครั้งเดียว”
“ศาลานั่นแข็งแรงมากเลยหรือเจ้าคะพี่ใหญ่ เหตุใดจึงไม่เคยถูกซ่อมแซม ไม่ผุพังบ้างหรือเจ้าคะ?” หลานหลีเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แปลกใจใช่หรือไม่?” หลานจิ้นหลี่ถามน้องสาวตัวน้อยกลับ
หลานหลีเกอพยักหน้ารับ ศาลานั่นผ่านร้อนผ่านหนามมาหลายสิบปี จะเป็นได้อย่างไรที่จะไม่เกิดการผุกร่อน ต่อให้ใช้วัสดุดีเลิศปานใด ก็ใช่ว่าจะทนทานต่อกาลเวลาได้
“เช่นนั้นก็ไปดูกัน”
หลานจิ้นหลี่จับจูงน้องสาวตัวน้อยไปที่ศาลาเหลียนฮวา และเมื่อไปถึง หลานหลีเกอก็จ้องมองศาลาดังกล่าวด้วยสีหน้าโง่งม
ศาลาแปดเหลี่ยมที่ตั้งอยู่กลางสระบัวขนาดใหญ่ สะพานไม้ไผ่ทอดยาวออกมาเป็นทางเชื่อม ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าสะพานไม้ไผ่นั้นได้รับการซ่อมบำรุงอยู่เป็นนิจ แต่ตัวศาลากลับทั้งเก่าและโทรม เห็นอย่างนี้แล้วในใจเด็กน้อยก็เกิดคำถาม ว่าเหตุใดจึงไม่มีผู้ใดมาซ่อมแซมบำรุงศาลาแห่งนี้เลย
สองพี่น้องเดินอยู่บนสะพานไม้ไผ่ ทว่าหลานจิ้นหลี่กลับรั้งแขนสองสาวไว้ เมื่อเห็นว่าร่างอ้วนกลมของหลานหลีเกอกำลังจะก้าวเข้าไปภายในศาลา
“เข้าไปไม่ได้หรือเจ้าคะ?” คนเป็นพี่ชายส่ายหน้าแทนคำตอบ
ความจริงแล้วศาลาเหลียนฮวาแห่งนี้มีอาถรรพ์บางอย่างแฝงอยู่ ทว่าก็เป็นเรื่องที่เล่าขานกันปากต่อปากมานาน ไร้สิ่งใดมาพิสูจน์ให้ได้รับความกระจ่าง
ว่ากันว่าแรกเริ่มเดิมทีที่ปู่ทวดของเขาเริ่มสร้างสำนักศึกษาแห่งนี้ ปู่ทวดได้นำเงินที่ปล้นมาจากสตรีนางหนึ่งมาสร้างเป็นศาลาแห่งนี้ เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
ความจริงแล้วต้นตระกูลหลานก็ใช่ว่าจะยากจนข้นแค้น ทว่าเหตุใดท่านปู่ทวดถึงได้เอ่ยออกมาว่าตนเองปล้นเงินจากสตรีนางหนึ่งมาศาลาแห่งนี้ก็สุดที่คนเป็นลูกหลานเช่นพวกเขาจะรับรู้ได้
คราวนั้นท่านปู่ที่เป็นบิดาของบิดาพวกเขาเล่าว่า ท่าปู่ทวดล้มป่วยจนถึงขั้นพูดจาเพ้อเจ้อเลอะเลือน เอ่ยออกมาว่าตนเองทำร้ายสตรีนางหนึ่ง ก่อนจะปล้นเอาทรัพย์สินของบ้านนางมา ถ้อยคำแต่ละคำของท่านปู่ทวดฟังออกได้ยากยิ่ง ด้วยน้ำเสียงที่แหบเครือและเบาหวิว ซึ่งเมื่อท่านปู่ทวดเอ่ยเล่าเรื่องราวนั้นจบ ท่านก็จากโลกนี้ไปในทันที
และด้วยเรื่องเล่านั้นเองที่เป็นที่มาของอาถรรพ์ของศาลาเหลียนฮวา ว่ากันว่าสตรีนางนั้นโกรธแค้นและผูกใจเจ็บผู้เป็นปู่ทวดของพวกเขา นางจึงไม่ยอมไปผุดไปเกิด อีกทั้งยังหวงแหนศาลาแห่งนี้มาก มีศิษย์ของสำนักหลายคนที่เคยมานั่งอ่านหนังสือในศาลาแห่งนี้ และพวกเขาเหล่านั้นก็มักจะวิ่งออกจากที่แห่งนี้ไปพร้อมกับอาการตัวสั่นจนจับไข้ บ้างก็ว่าตนเองถูกผีสาวนางหนึ่งหลอก
ต่อมาท่านปู่ของเขาได้เชิญนักพรตหลายท่านมาตรวจสอบ ทว่าก็ไม่พบสิ่งใดที่บ่งบอกว่าศาลาเหลียนฮวาแห่งนี้มีวิญญาณร้ายอาศัยอยู่
ทว่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีศิษย์ในสำนักคนใดกล้าเข้ามานั่งในศาลาเหลียนฮวาอีกเลย แม้กระทั่งคนทำความสะอาดก็ไม่กล้าเข้ามาทำความสะอาด
“อย่าเข้าไปเลย พี่ขอโทษที่พาเจ้ามาที่นี่ พวกเราไปดูที่อื่นกันเถอะ” หลานจิ้นหลี่ว่าแล้วจูงมือน้องสาวเดินหันหลังกลับ
หลานหลีเกอหันกลับไปมองศาลาเหลียนฮวาด้วยความสงสัยปนแปลกใจ ทว่าเด็กน้อยก็ยอมเดินกลับออกไปตามการชักจูงของผู้เป็นพี่ชายแต่โดยดี
“พี่ใหญ่ หลีเกอหิวน้ำแล้วเจ้าค่ะ เดินมานานแล้วหลีเกอเหนื่อยเหลือเกิน”
หลานหลีเกอเอ่ยด้วยสีหน้างอง้ำ วันนี้พี่ใหญ่พานางเดินไปมาเดินมากี่รอบแล้วนางก็ลืมนับ รู้แต่ว่าเวลานี้นางทั้งเหนื่อยและร้อน ร้อนจนแทบอยากจะถอดเสื้อผ้าออกอยู่แล้ว!
“เช่นนั้นก็เดินต่ออีกหน่อย ห้องพักของพี่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าใดนัก พี่จะพาเจ้าไปนั่งพักในนั้นก่อน”
“หลีเกอเข้าไปในห้องพักบุรุษได้หรือเจ้าคะ?”
เด็กน้อยเงยหน้าถามผู้เป็นชาย ซึ่งหลานจิ้นหลี่เองก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ แม้ว่าน้องสาวของเขาจะเป็นเพียงแค่เด็กสาววัยห้าหนาว ทว่าห้องพักของเขาก็มีเด็กชายคนอื่นๆ พักอยู่รอบข้าง ไม่เหมาะที่จะให้น้องสาวของเขาเข้าไป อีกอย่าง หากท่านแม่รู้เรื่องคงไม่ดีแน่
“เช่นนั้นเจ้ารอพี่อยู่ตรงนี้ พี่จะไปเอาน้ำมาให้ดื่ม ห้ามวิ่งซุกซนไปที่อื่นเชียว” หลานจิ้นหลี่กำชับ
“เจ้าค่ะ”
หลานหลีเกอรับคำพี่ชายแล้วยกยิ้มจนตาหยี่ ทว่าในใจเด็กน้อยนั้นมาดหมายไว้แล้วว่านางจะเดินกลับไปที่ศาลาเหลียนฮวาแห่งนั้นอีก
ศาลาเหลียนฮวานั่น...ต้องมีบางอย่างไม่ปกติเป็นแน่!